ReadyPlanet.com
dot
ประวัติอาจารย์
dot
bulletประวัติอาจารย์หยังกง
bulletประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ
bulletประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย
dot
บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆ
dot
bulletบทความ อ.เชียร บางบอน
bulletบทความ อ.ฮิม เมืองเลย
dot
รวมลิงค์
dot
bulletsanook.com
bulletpayakorn.com
bulletmeesook.com
bullethunsa.com
bulletpantip.com
dot
รับข่าวสาร

dot


Software บน Pocket PC / Plam




โรจน์ จินตมาศ

ดูดวง,โหราศาสตร์,ยูเรเนี่ยน,กาลโยค,พยากรณ์ฟุตบอล



รู้ทันมะเร็ง กับ คุณพลวัฒน์ article
     สำหรับบทความ "รู้ทันมะเร็ง กับ คุณพลวัฒน์" เป็นบทความที่เปิดให้มีการสอบถามเกี่ยวกับโรคมะเร็ง วิธีการรักษา และการเรียนรู้ที่จะอยู่คู่กับมะเร็ง โดยคุณพลวัฒน์ ยินดีจะตอบและให้คำแนะนำจากประสบการณ์จริงของเขา ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนใกล้ตัวที่ประสบกับมะเร็งเช่นกัน นั่นก็คือภรรยาของเขาเอง ด้วยความเต็มใจ
     ทางบ้านฮวงจุ้ย ขอขอบคุณ คุณพลวัฒน์ เป็นอย่างยิ่งที่นำประสบการณ์ที่ดีมาถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจ



สาระน่ารู้ กับ บ้านฮวงจุ้ย

ไพ่อี้จิงพยากรณ์ ตอนที่ 17 article
ความหมายดาวคู่ article



[1] 2 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 1 (3648)

เว็บบอร์ดนี้มีความประสงค์ เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิด และช่วยเหลือแก้ไข รวมทั้งการปฎิบัติตัว สำหรับ การรู้เท่าทันโรคมะเร็ง โดยผ่านจากประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นจริง ต้องการให้ทุกท่านที่มีปัญหา หรือ รู้สึกกังวล เกี่ยวกับ โรคมะเร็ง ได้มีการสอบถาม  ทางบ้านฮวงจุ้ย ถือเป็นบทความ ที่ต้องการกระจายความรู้ ให้แก่ผู้อ่านทุกคน

อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2008-10-31 10:34:38


ความคิดเห็นที่ 2 (3649)

อยากเรียนสอบถาม คุณพลวัฒน์ เกี่ยวกับ หญ้าปักกิ่ง ว่ารักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ และควรรับทานในแบบใด เป็นไปได้อยากให้มีการเขียนข้อมูล ขอบคุณ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุกฤษฎิ์ วันที่ตอบ 2008-10-31 10:38:58


ความคิดเห็นที่ 3 (3655)

เรียนคุณ สุกฤษฎิ์  

ขอเวลารวบรวมข้อมูลแล้วจะรีบแจ้งให้ทราบ ไม่นานครับ

แต่ในเบื้องต้นอยากบอกว่า หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา

มีส่วนในการป้องกัน รักษา มะเร็ง ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-10-31 15:44:11


ความคิดเห็นที่ 4 (3656)

อยากเรียนทุกท่านที่จะสอบถามว่า

ผมไม่ใช่หมอแต่ผมศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเพื่อที่จะช่วยภรรยาที่เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก

ดังนั้นแนวทางคำแนะนำที่ผมให้มันเป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์จริง

ผมจึงคิดว่าความรู้ประสบการณ์ที่ผมได้รับมา พอที่จะช่วยคนที่เจอคำว่ามะเร็งได้ไม่มากก็น้อย

จึงขออุทิศตนและเวลาที่จะมาบอกกล่าวที่นี่

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวะฒน์ วันที่ตอบ 2008-10-31 15:52:48


ความคิดเห็นที่ 5 (3684)

ข้อมูลเรื่องหญ้าปักกิ่ง

ผมนำข้อมูลจากหลายๆที่ๆผมรวบรวมไว้มาให้ศึกษา ผมก็ศึกษาจากข้อมูลพวกนี้ที่นำเอามาใช้รักษาภรรยา

โดยผมเอามาคั้นสดให้ภรรยาทานเช้าตื่นนอนก่อนอาหาร และก่อนนอน วันละ2ครั้ง ทาน7 วันหยุด4วัน

ปัจจุบันภรรยาผมทานน้ำหญ้าปักกิ่งมาได้ 1 ปี  โดยส่วนตัวเชื่อว่า หญ้าปักกิ่งมีส่วนชีวยในการรักษาและป้องกัน

มะเร็งได้ นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวอาจจะไม่ตรงกับท่านอื่นได้

Link สถาบันมะเร็งเรื่องหญ้าปักกิ่ง http://www.nci.go.th/Knowledge/download/nci01.pdf

หญ้าปักกิ่ง

หญ้าปักกิ่ง ลักษณะเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 10 ซม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบที่โคนต้นกว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 10 ซม. ใบส่วนบนสั้นกว่าใบที่โคนต้น ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น ใบประดับย่อยค่อนข้างกลมซ้อนกัน สีเขียวอ่อน บางใส กลีบดอกสีฟ้าหรือม่วงอ่อน ร่วงง่าย ผลแห้ง แตกได้

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

     หญ้าปักกิ่ง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏชื่อพืชสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอ และมะเร็ง ในประเทศไทย มีผู้นำหญ้าปักกิ่งมาใช้รักษาอาการของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในลำคอ ตับ มดลูก ลำไส้ ผิวหนัง และเม็ดเลือด เป็นต้น โดยนำหญ้าปักกิ่ง 6 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นหรือตำให้แหลก เติมน้ำ 4 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำแบ่งครึ่ง ดื่ม 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง และก่อนนอน หญ้าปักกิ่งไม่มีพิษเฉียบพลัน และพิษกิ่งเรื้อรังในหนูขาว ( สำหรับคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย ) อาการที่อาจเกิดจากพิษของหญ้าปักกิ่ง

  1. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
  2. ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง มีฟองสีเหลือง (อาการแสดงของดีซ่าน ต้องรีบไปพบแพทย์)
  3. ผื่นขึ้นตามผิวหนัง เป็นตุ่ม เป็นปื้น หรือเป็นเม็ดแบน คล้ายลมพิษ อาจบวมที่ตา หรือริมฝีปาก หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
  4. หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
  5. ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่น เพียงแตะผิวหนัง ก็รู้สึกเจ็บ ลูบผมก็แสบหนังศีรษะ เป็นต้น
  6. ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบ คล้ายหัวใจจะหยุด และเป็นบ่อย ๆ

ข้อพึงสังเกต

  1. อาการที่ชวนให้สงสัยว่าน่าจะเกิดจากพิษของยาสมุนไพร ทั้ง 6 ข้อ ดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นกับคนคนหนึ่ง โดยที่ไม่เป็นกับคนอีกคนหนึ่งก็ได้ และความรุนแรงของอาการดังกล่าวก็ไม่เท่ากันในแต่ละคน จึงควรหมั่นสังเกตตัวเอง
  2. การนำสมุนไพรมาใช้ ควรล้างทำความสะอาดส่วนของสมุนไพรก่อนนำไปใช้ เพราะอาจมีเชื้อโรค หรือไข่พยาธิ ติดอยู่
  3. สมุนไพรที่เหลือใช้ อาจทำเป็นสมุนไพรแห้ง โดยทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งสนิท เก็บใส่ภาชนะสะอาดที่ปิดสนิท ป้องกันความชื้นและฝุ่นละออง

ต้มเอาน้ำดื่ม หมายถึง ต้มสมุนไพร ด้วยการใส่น้ำพอประมาณ (3 เท่า ของปริมาณที่ต้องการใช้ โดยใช้ไฟอ่อนๆ ต้มให้เหลือ 1 ส่วน จาก 3 ส่วน ข้างต้น)

หญ้าเทวดา / หญ้าปักกิ่ง (เล่งจือเฉ้า)

สรรพคุณ :

ชาวจีนใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคเป็นเวลาหลายพันปี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Activate cells) บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์และล้างสารพิษตกค้างในร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งในส่วนต่างๆของร่างกาย เบาหวาน ความดันสูง-ต่ำ เม็ดโลหิต(ลูคีเมีย) มดลูก ไทรอยด์ ไต เส้นเลือดตีบ หัวใจ แก้ไอ ระงับปวดไมเกรน ภูมิแพ้ งูสวัด เริม แผลเบาหวาน ทำให้ระบบขับถ่ายดี เป็นยาอายุวัฒนะ ทานต่อเนื่องเป็นประจำได้ไม่มีผลข้างเคียง ขณะทานยาที่แพทย์สั่งทานหญ้านี้ก็ได้ ถ้าผ่านการฉายแสงหรือให้เคโมมา ทานหญ้านี้จะไม่แพ้แสงและถอนพิษได้ ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น

ลักษณะ :

ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 10-30 ซม. ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน หนาเรียวคล้ายใบใผ่ฉ่ำน้ำ ดอกเล็กๆ ออกเป็นช่อที่ปลายยอดสีขาวแกมม่วง เกิดในประเทศจีนตอนใต้ ชอบดินร่วนปนทราย แดดรำไร ขยายพันธ์โดยการแยกหน่อหรือเมล็ด

สาระสำคัญ :

ในใบและต้นหญ้าปักกิ่งมีสารประกอบจำพวกกลัยโคไซด์ เช่น ไดกาแลคโตซิลไดกลีเซอไรด์ (Digalactosyl Diglyceride) สารฟลาโนวอยด์ ชื่อ ไอโซไวเทกซิน (Isovitexin) กรดไซรินจิก (Syringic Acid) และ กลัยโคสฟิงโกไลปิด (Glycosphingolipids) แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ คลอโรฟิลล์และสารอาหารในหญ้าจะเข้าไปล้างกรดในเซลล์ ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง ม.มหิดลได้สนับสนุนงานวิจัยหญ้าปักกิ่งมาตั้งแต่ พ.ศ.2532

วิธีปรุง :

นำหญ้าเทวดาอายุ 4 เดือนขึ้นไป ล้างให้สะอาดทั้งต้น ใบ ราก และดอก หักแยกจากกอล้างทีละต้น อย่าหักใบออกจากต้นเพราะจะทำให้เสียยางซึ่งเป็นตัวยาสำคัญไป ไม่ต้องใช้ด่างทับทิมหรือน้ำยาล้างผัก เพราะปลอดสารพิษ หลังล้างสะอาดนำมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปปรุงโดย นำหญ้า 1 กิโลกรัม ผสมกับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร ตำให้ละเอียด ปั่นด้วยเครื่องปั่น(Moulinex) หรือนำไปต้มวิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วนำมา คั้นเอาแต่น้ำเขียวเข้มและฟอง เก็บใส่ขวดแช่ในตู้เย็น หรือจะทานสดปรุงเป็นอาหารก็ได้ เช่น จิ้มน้ำพริก ทอดกับไข่แทนชะอม ทานกับลาบน้ำตก ผัดเหมือนผักบุ้ง มีรสอร่อย ไม่ขม ไม่เป็นพิษหรือภัยใดๆตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก

วิธีรับประทาน :

ก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง เช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว ประมาณ 150-250 ซีซี. น้ำหญ้าคั้นแล้ว 1 กิโล กรัมรับประทานได้ 2-5 วัน ควรทานต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป

* ข้อมูลจาก ใบแจ้งสรรพคุณสินค้าของ กลุ่มเกษตรนนท์สมุนไพร(หญ้าปักกิ่ง)โทร.02-446-7255

หาซื้อได้ทั่วไป และที่ Golden Place , Foodland ,  ท้อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต , ฟิวเจอร์พาร์ค (ในช่องผักสด) , แถวถนนรามอินทรา 117 โทร 081-132-1717หรือ02-517-1207 หรือที่ จาตุกาหญ้าเทวดา โทร. 01-917-6949 , 02-591-3930

 

 

หญ้าปักกิ่ง

หญ้าปักกิ่งคืออะไร ?

     หญ้าปักกิ่งหรือ เล่งจือเช่า เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูงราว 10 เซนติเมตร ใบเดี่ยวลักษณะคล้ายใบไผ่ ผิวของใบเรียบเป็นมัน สีเขียวอมเหลือง ยาวไม่เท่ากัน หนาฉ่ำน้ำ ดอกเล็กๆ สีบานเย็น กลีบสีขาวแกมม่วง ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ที่ปลายต้น มีแหล่งกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน ชอบดินทรายและที่มีร่มเงา ขยายพันธ์โดยการแยกหน่อ

สรรพคุณของหญ้าปักกิ่ง ?

     อ้างตามหนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ ซึ่งจัดทำโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พิมพ์เมื่อ เดือนสิงหาคม 2535 หน้า 146 ได้อธิบายสรรพคุณของหญ้าปักกิ่งไว้ว่า "ในตำรายาจีนปรากฏชื่อพืชสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอและมะเร็ง ในประเทศไทยมีผู้นำหญ้าปักกิ่งมาใช้รักษาอาการของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในลำคอ ตับ มดลูก ลำไส้ ผิวหนัง และเม็ดเลือด เป็นต้น หญ้าปักกิ่งไม่แสดงพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาว เป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย"

     เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจากตำราจีนแล้ว ในตำรายังได้เขียนอธิบายไว้อีกว่า "หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นจัด สามารถใช้ขับพิษร้อนต่างๆ ในร่างกายได้ นอกจากนี้แล้วยังมีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะอีกด้วย"

      ดังนั้นถ้าหากผู้ป่วยโรคมะเร็งจะนำหญ้าปักกิ่งมาใช้ อาจนำมาใช้ได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง โดยใช้หญ้าปักกิ่งมาช่วยในการระบายพิษของสารเคมี หรือรังสีที่ตกค้างในร่างกายได้ โดยนำส่วนต้นใบ และ ราก มาคั้นน้ำดื่มวันละ2ครั้ง ตื่นเช้าก่อนอาหารและก่อนนอน ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วันและหยุด 4 วัน หลังจากหยุดรับการทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง

ข้อควรระวังในการใช้หญ้าปักกิ่ง ?

     ไม่แนะนำให้ดื่มทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะหญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นจัด หากดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อไม่มีแรงได้ ดังนั้นผู้ที่ใช้หญ้าปักกิ่งควบคู่กันในการรักษา ควรมีการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นของหญ้าปักกิ่งส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อได้

     หญ้าปักกิ่งจะออกฤทธิ์ดีที่สุดก็เมื่อใช้ต้นสดมาคั้นเอาน้ำดื่ม หากเป็นชนิดแห้งหรือแคปซูลอาจให้ผลได้ไม่ดีเท่า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:44:36


ความคิดเห็นที่ 6 (3685)

หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งกับการรักษาโรคมะเร็ง

ดร. ผ่องพรรณ ศิริพงษ์

หัวหน้างานวิจัยสมุนไพร กลุ่มงานวิจัย

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

 

ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับสองของประชากรไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆปี ยารักษาโรคมะเร็งที่ใช้ในทางการแพทย์ ก็มีแต่ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง ซึ่งจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งในรูปยาสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบ อีกทั้งยังพบว่ามีผลข้างเคียงสูง ทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงหันมานิยมใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อนำมารักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ สมุนไพรจากประเทศจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นำมาเผยแพร่ประมาณ 30 ปีมาแล้วและปัจจุบันก็ยังคงนิยมใช้อยู่อย่างแพร่หลาย คือหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง หรือเรียกชื่อภาษาจีนว่า เล่งจือเฉ้าหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao etKammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 7-10 .. และอาจสูงได้ถึง 20 .. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 .. ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 .. ร่วงง่าย เป็นพืชที่ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ดปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มากตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้งต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)

 

ประวัติความเป็นมาของการใช้หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งในประเทศไทย

หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนแถบสิบสองปันนามีการนำเข้ามาและปลูกแพร่หลายในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.. 2527 มีผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่งเพื่อรักษาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง พบว่าสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง บางรายใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผลข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือน ขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านและดื่มน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง หลังจากนั้น 1 ปี ผู้ป่วยดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจผลจากผู้ป่วยรายนี้จึงทำให้เกิดการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของพืชชนิดนี้เกิดขึ้น

 

จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า

- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น

- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด

2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง

- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มีหนองและน้ำเหลือง

 

ผลการวิจัยศึกษาหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง

สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ :

น้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง มีสารกลัยโคสฟิงโคไลปิดส์ (จี 1 บี) มีชื่อทางเคมีว่า 1-β-O-D-glycopyranosyl-2-

(2’-hydroxy-6’-ene-cosamide)-sphingosine (G1b) นอกจากนั้น ยังพบสารกลุ่มต่างๆได้แก่ คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน กลัยโคไซด์ ฟลาโวนอยด์ และอะกลัยโคน(1-2)

 

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:

- สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่(SW 120) โดยมีค่า ED5016 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (1-3)

- สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน (1-3)

- สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความรุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ (1-3)

- สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่นAFB1(4)

- สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่

ก่อให้เกิดมะเร็ง(5-6)

 

ความเป็นพิษ

- ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโตชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาวมากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่าค่อนข้างจะปลอดภัย(7)

- ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน(8)

 

ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม

- ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง

- ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้

รับประทานติดต่อกัน 5-7 วัน หยุดยา 4 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด

 

วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร)กรองผ่านผ้าขาวบาง

ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส

ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด

- หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากดินมาที่ต้นและใบของ

หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก

เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ

- หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง

- หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก

โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ

มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ

สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าวที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค

 

ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา

ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วยโดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ

1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน

2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วันหยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง

3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส

เอกสารอ้างอิง

1. วีณา จิรัจฉริยากูล สารต้านมะเร็งจากหญ้าปักกิ่ง จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2542; 16(3): 10-13.

2. วีณา จิรัจฉริยากูล รายงานผลความก้าวหน้าของโครงการวิจัยหญ้าปักกิ่ง หนังสือรวบรวมผลงานการวิจัยโครงการพัฒนาการใช้สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก ปี 2526-2536 คณะกรรมการโครงการพัฒนาการใช้

สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล หน้า 185-195.

3. Weena Jiratchariyakul, Primchanien Moomgkarndi, Hikane Okabe, Frahm A.W. Investigation ofanticancer components from Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy. Phama Indochina1997; 171-191.

4. Intiyot Y, Kinouchi T, Kataoka K, Arimochi H, Kuwahara T, Vinitketkumnuen U, Ohnishi Y.Antimutagenicity of Murdanis loriformis in the Salmonella mutation assay and its inhibitory effects onazoxymethane-induced DNA methylation and aberrant crypt focus formation in male F344 rats. J.

Med. Invest. 49(1): 5-14.

5. Vinitketkumnuen U, Chewonarin T, Dhumtanom P, Lertpraseartsuk N, Wild CP. Aflatoxin-albumin adduct formation after single and multiple doses of aflatoxin B1 in rats treated with Thai medicinal plants. Mutat. Res. 1999; 48(1): 345-351.

6. วิริยา เจริญคุณธรรม, ปรัชญา คงทวีเลิศ, อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ การเหนี่ยวนำเอ็นไซม์ดีที-ไดอะฟอเรสโดยสารสกัดจากหญ้าปักกิ่ง ใบมะกรูด และตะไคร้ เชียงใหม่เวชสาร 2537; 33(2): 71-77.

7. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, วัลลา รามนัฐจินดา, พรรณี พิเดช การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของหญ้าปักกิ่งในหนูขาว สารศิริราช 2534; 48: 458-66.

8. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, เพียงจิต สัตตบุศย์, พรรณี พิเดช พิษกึ่งเรื้อรังของหญ้าปักกิ่งในหนูขาวสารศิริราช 2534; 48(8): 529-533.

………………………………………………………………………….__

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:47:20


ความคิดเห็นที่ 7 (3686)

สูตรการทำน้ำหญ้าปักกิ่งที่ผมใช้ทำให้ภรรยา ที่สำคัญเมื่อทำน้ำหญ้าเสร็จแล้วควรทานทันที

เพื่อให้ได้คุณค่าเต็ม100% เครื่อง juicer คือเครื่องคั้นแยกกาก

วิธีปรุงสูตรหญ้าเทวดา

 

1.นำหญ้าเทวดาล้างให้สะอาดด้วยผงถ่านและน้ำสะอาด ทั้งต้น ใบ ราก และดอก จำนวน 6 – 7 ต้น

2.ปั่นด้วยเครื่อง juicer รองด้วยผ้าขาวบางสะอาด

3.แต่งความหวานด้วยน้ำแอบเปิ้ล 4ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำต้มสุก 4 ช้อนโต๊ะ )

   รวมกับน้ำหญ้าให้ได้จำนวน 200 – 250 CC.

4.ดื่มครั้งละ 1 แก้ว 200 - 250 CC. ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงและ 1 ครั้งและ ก่อนนอน 1 ครั้ง

5.ดื่มน้ำหญ้า 7 วัน งด 4 วัน

 

หมายเหตุ : ดื่มน้ำหญ้า ห้ามทานของแสลง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หัวไชเท้า ฟักแฟง แตงกวา ผักบุ้ง

           ผักกาดขาวรวมทั้งน้ำแกงที่ได้จากผักเหล่านี้ เพราะจะทำให้ฤทธิ์ในการรักษาอ่อนลง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:54:33


ความคิดเห็นที่ 8 (3790)

เรียนคุณพลวัฒน์

ขอขอบคุณที่อุตส่าห์ หาข้อมูลมาให้อ่าน และอยากสอบถามว่า เพลง หรือบทสวดมนต์ และสมาธิ มีส่วนในการช่วย ในการระงับยับยั้งอาการของโรค หรือไม่ครับ

สุกฤษฎิ์

ผู้แสดงความคิดเห็น สุกฤษฎิ์ วันที่ตอบ 2008-11-06 11:03:11


ความคิดเห็นที่ 9 (3831)

เรียนคุณสุกฤษฎิ์

คำถามของคุณสั้นแต่เวลาตอบๆยาวมาก หากเป็นการเรียนต้องใช้ไม่ต่ำกว่า2-3 ชม. แต่ผมคงสรุปสั้นๆ

ตลอดเวลาที่ภรรยาผมอยู่ในช่วงรักษาสิ่งที่ผมและภรรยาปฎิบัติกันประจำคือ

การสวดมนต์และทำสมาธิ และก่อนนอนก็จะเปิดเพลงบำบัดพวกแนวธรรมชาติเป็นประจำทุกวัน

ยิ่งตอนที่เธอได้รับการบำบัดโดยการฉายแสงและให้เคโม เธอจะทำสมาธิและสวดมนต์ภายในใจเพื่อยับยั้งความกลัวและความเครียดที่เกิดจากเคมี่กำลังเข้าสู่ร่างกาย หรือรังสีอันตรายที่กำลังฉายบนร่างเธอ

หากเธอไม่นิ่งสงบและเกิดความเครียด ร่างกายเธอก็จะไม่มีพลังไปต่อสู้กับโรคร้ายและร่างกายเธอจะทรุดเร็วมาก ไม่มีจิตใจที่จะต่อสู่กับโรคร้ายได้เลย

ความเครียดจะเป็นเหตุให้ฮอร์โมนในร่างกายหลั่งผิดปกติ เช่น

-         ทำให้เกิดไขมันในเลือดสูง

-         เกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

-         ทำให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยที่เป็นกรดมากขึ้น

-         และอีกสารพัดโรคที่เกิดจากความเครียด โดยเฉพาะมะเร็ง

ความเครียดจึงเป็นบ่อเกิดของจิตใจที่วุ่นวาย สับสน และทำให้ร่างกายอ่อนแอเป็นหนทางให้โรคร้ายต่างเกิดขึ้นและโจมตีเราได้ง่ายมาก ยกตัวอย่างตอนที่เริ่มเคโมครั้งที่4 เธอกลัว เธอเครียด เม็ดเลือดขาวตกลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือ300กว่าๆเท่านั้น ตาหลังจากเธอเริ่มคุมจิตใจตัวเองได้ เริ่มสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปล่อยวาง ไม่คิดฟุ้งซ่าส์ เม็ดเลือดขาวเธอเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆๆจนเป็นปกติ

การสวดมนต์และการทำสมาธิจึงเป็นการทำให้จิตใจสงบ ไม่เครียด เมื่อจิตสงบมีสมาธิ ร่างกายก็จะผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาเพื่อใช้เป็นภูมิคุ้มกันโรคและไปฆ่าเชื้อโรคแปลกปลอม และที่สำคัญช่วงที่ร่างกายสงบมีสมาธิ ร่างกายจะผลิตสารธรรมชาติที่เป็นยาวิเศษที่สุดคือ เอ็นดอร์ฟิน ซึ่งมีคุณสมบติดีกว่ามอร์ฟืน ที่หมอใช้แก้ปวดหลายเท่า

ผมเคยไปนั่งคุยกับเจ้าอาวาสท่านเล่าว่ามีพระรูปหนึ่งเป็นโรคมะเร็งแต่ท่านรักษาโรคร้ายด้วยการนั่งสมาธิอย่างเดียว

 

ทุกวันนี้ภรรยาผมจะนั่งสมาธิสวดมนต์เป็นประจำก่อนนอนทุกคืนบางคืนก็นั่งสมาธิเป็นชั่วโมง

 

สรุปก็คือการสวมนต์นั่งสมาธิ ฟังเพลงบำบัดมีส่วนช่วยยับยั้งและบำบัดโรคได้แน่นอนครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-08 22:16:42


ความคิดเห็นที่ 10 (3897)
อ.สมพร ช่วยดูเมลด้วยครับ ผมพยายามโพสข้อความแต่โพสไม่ได้ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-13 00:57:43


ความคิดเห็นที่ 11 (3904)

อยากจะแนะนำคนที่เป็นมะเร็ง ทางด้านโรงพยาบาลและข้อมูล  เพราะคนที่เป็น

 

1.จะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร

2.จะรักษาที่ไหน

3.จะหาข้อมูลได้จากที่ไหน

4.จะวางแผนการรักษาอย่างไร

5.จะรักษาแบบแผนปัจจุบัน หรือแพทย์ทางเลือก เช่นทางธรรมชาติบำบัด

 

หากโรงพยาบาลของรัฐ ก็คือ สถาบันมะเร็ง  ศิริราช จุฬา รามา หากเป็นเอกชน ก็ รพ กรุงเทพ

ตามข้อมูลที่ได้โพสไว้ให้ หลักๆก็คือโรงพยาบาลทั้งหลายนี้

 

ส่วนแพทย์ทางเลือกผมเอาเวปของทางบัลวี มาให้ศึกษา และของคุณมนตรีที่รักษามะเร็งด้วยตนเอง

และชมรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็ง มาให้เป็นแนวทางในการศึกษา พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับมะเร็ง

 

มะเร็งหากเรายิ่งรู้มากรู้ลึก เราก็จะรู้จักมันมากขึ้น และจะรู้ว่ามันไม่น่ากลัว

อย่างที่เราทั้งหลายกลัวกัน เราสามารถควบคุมมันได้ อยู่ที่จิตใจและความตั้งใจที่จะทำ

 

คนที่พอรู้ตัวเป็นมะเร็งสิ่งแรกที่ต้องทำคือ

 

ตั้งสติให้ได้ และให้ได้เร็วที่สุด

 

เมื่อมันมาทักทายเราแล้ว เราก็จะต้องอย่าหนีมัน เข้าไปคุยไปรู้จักกับมันให้มากและเร็วที่สุด 

“ รู้เขารู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะ“

ยิ่งเรารู้จักมันมากเท่าไรเราก็ยิ่งชนะมันได้มากเท่านั้น

 

เมื่อตั้งสติได้ สิ่งต่อไปก็คือ

 

รีบหาข้อมูลเกี่ยวกับมันให้เร็วที่สุด

 

เมื่อเรารู้จักมันดีแล้วเราจะได้เข้าไปสู้กับมันด้วยการ

 

วางแผนการรักษา ที่ถูกต้องกับมะเร็งที่เราเป็น

 

ขอให้เริ่มจาก 3 หลักนี้ให้ได้ก่อน เพื่อที่เราจะได้เริ่มย่างก้าวไปไม่ผิดพลาด และเวลาทุกนาทีที่ผ่านไปจะต้องเกิดประโยชน์ให้มากที่สุดอย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยที่เราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับคำว่ามะเร็ง

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ (phonlawatv-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-11-13 16:46:14


ความคิดเห็นที่ 12 (3905)
ขอโทษครับไม่สามารถโพส link ได้
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-13 17:04:11


ความคิดเห็นที่ 13 (3910)

ขณะนี้ทางเรากำลังดำเนินการแก้ไข้ให้อยู่ครับ

อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2008-11-13 23:25:58


ความคิดเห็นที่ 14 (3911)

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/

 

เวปไซต์ โรงพยาบาลจุฬา

http://www.chulacancer.net/

 

เวปไซต์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

http://www.ramaclinic.com/cancer/index.asp

 

โรงพยาบาลกรุงเทพ

http://www.bangkokhospital.com/tha/index.aspx

 

http://www.bangkokhealth.com/ent_htdoc/ent_health_topics.asp

 

หมอทางด้านฉายรังสีรักษา

พญ. ลดาวัลย์ นาควงษ์http://www.bangkokhospital.com/App/doctorprofile.aspx?DrID=821&Lang=th-TH

นพ. ประเสริฐ เลิศสงวนสินชัยhttp://www.bangkokhospital.com/App/doctorprofile.aspx?DrID=36&Lang=th-TH

 

หมอทางด้าน อายุรกรรม - เคมีบำบัด

นพ. วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริhttp://www.bangkokhospital.com/App/doctorprofile.aspx?DrID=130&Lang=th-TH

 

หมอทางด้าน หู คอ จมูก

นพ. พีระ จิตตำนานhttp://www.bangkokhospital.com/App/doctorprofile.aspx?DrID=162&Lang=th-TH

 

 

ศุนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

http://www.cccthai.org/th/main/main.php

 

เวปทางด้านมะเร็งปากมดลูก

http://www.ccpclub.com/

 

เวปไซต์คุณมนตรีที่หายจากมะเร็งด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและทางธรรมชาติบำบัดเป็นหลัก

http://www.geocities.com/pimpawatree/

 

เวปไซต์บัลวี การรักษามะเร็งด้วยธรรมชาติบำบั

http://www.balavi.com/index_th.asp

http://www.balavi.com/webboard/QAboard.asp?kword=&Category=2

 

เวปเกี่ยวกับมะเร็งใช้ค้นหาข้อมูล

http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%C1%D0%E0%C3%E7%A7&Search=%A4%E9%B9%CB%D2%E2%B4%C2+Google&meta=

 

http://www.nci.go.th/LinkView.html

 

 

เวปเกี่ยวกับยาเคโมที่ชื่อ 5FU จะเป็นบาเคโมตัวหลักที่แพทย์มักใช้กัน

http://www.google.co.th/search?hl=th&q=5+fu&meta=

 

http://www.cancerhelp.org.uk/help/default.asp?page=4007

 

 

ชมรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็ง

http://www.siamca.com/index.php

 

ขอขอบคุณ คุณพลวัฒน์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยรวบรวมข้อมูลให้

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2008-11-13 23:31:43


ความคิดเห็นที่ 15 (3928)

ขอบคุณครับ อ.สมพร

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-14 19:06:48


ความคิดเห็นที่ 16 (4884)

ตอนนี้เค้ากําลังจะใช้สารสะกัดจากพริกแทนแย้วค่ะ ที่อังกฤษได้เริ่มใช้แล้วในบางสถาบันและคนไข้ตอบสนองดีกว่าด้วยแต่ยังไม่รู้เมื่อไรบ้านเราจะได้ใช้อ่ะ แต่เราก็สมารถได้รับสารที่เป็นประโยชน์ชนิดนี้ได้นะคะด้วยการทานพริกสดระหว่างมื้ออาหารบ้างถึงต้องผ่านขบวนการดูดซึมเข้าในระบบร่างกายของเรานานหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทําอะไรเลย มีอะไรใหม่ๆไว้จะแวะมาupdate ให้ฟังนะคะ ขอแอบไปสืบๆถามที่สถาบันจุฬาภรณ์ก่อนว่าทางสถาบันทําการวิจัยเจ้าสารตัวนี้หรือยังแต่เอจำชื่อไม่ได้ แต่จะรีบไปสืบค้นมานะคะ

อานิสงห์แรงดีค่ะแบ่งปันความรู้นี่อ่ะ ยกนิ้วให้เลยค่ะ ขอให้บุญรักษาทุกท่านนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-01-18 01:12:10


ความคิดเห็นที่ 17 (5280)

เวปเกี่ยวกับการดูค่าต่างๆในเลือด คนเป็นมะเร็งทุกคนต้องศึกษารู้ไว้

เพราะจำได้ทราบว่าร่างกายเราแข็งแรงแค่ไหน มีเม็ดเลือดขาวพอเพียงต่อการให้เคโมหรือไม่

และอีกหลายๆส่วนในเลือด ควรศึกษาไว้ เวปนี้อธิบายไว้เกือบครบ

http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Lab_interprete/cbc.htm

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-08 12:49:09


ความคิดเห็นที่ 18 (5565)

ขอขอบคุณ คุณ amy ที่ช่วยเพิ่มเติมเรื่องสารสกัดจากพริก
และขอขอบคุณ คุณพลวัฒน์ ที่แนะนำเว็บไซท์ดีๆ เกี่ยวกับการดูค่าต่างๆของเลือด

หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย

ทีมงานบ้านฮวงจุ้ย

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2009-02-17 20:57:46


ความคิดเห็นที่ 19 (5616)

ควันธูปอันตราย! สารก่อมะเร็งอื้อ

พบกลิ่นธูปเป็นชนวนเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด โดยเมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง "สารก่อมะเร็ง ภัยเงียบที่มากับควันธูป"

โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กล่าวว่าตนและน.ส.พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายของควันธูป เนื่องจากพบว่า ปัจจุบันโรคมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทย โดยร้อยละ 80-90 มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ แต่ขณะเดียวกันจากสถิติการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดในเพศหญิงกลับพบว่า กว่าร้อยละ 50 ไม่พบประวัติสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ อีกทั้งไม่มีประวัติสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพเลย แต่กลับเป็นมะเร็งปอด ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากภัยที่เพิ่งค้นพบ คือ สารพิษก่อมะเร็งจากควันธูป

นพ.มนูญ กล่าวต่อว่า จากการศึกษาควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน มีส่วนประกอบมาจากกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอมและสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม เป็นต้น โดยสารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาวและน้ำหอม เป็นสำคัญ ทั้งนี้ธูป 1 ดอก จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325 กรัม และก๊าซมีเทน 7 กรัม ซึ่งมีศักยภาพเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 23 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารพิษอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจหาสารก่อมะเร็ง บริเวณวัด 3 แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นวัดดังและมีผู้คนนิยมไปกราบไหว้มาก โดยได้สำรวจคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน จากการตรวจเลือดและปัสสาวะ พบว่า คนงานที่ทำงานในวัดทั้งหมด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าคนที่ไม่ทำงานในวัดถึง 4 เท่า ขณะที่สารบิวทาไดอีน สูงกว่า 260 เท่า และสารในกลุ่มพีเอเอช จำพวกฟาร์มาลดีไฮด์ พบสูงกว่า 12 เท่า

นอกจากนี้ ยังพบสารเบโซเอไพรีน ซึ่งเป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูงสุด โดยพบว่าในวัดมีสารดังกล่าวสูงกว่าสถานที่ที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า ที่สำคัญจากการตรวจร่างกายในคนงานในวัด 40 คน ยังพบการแตกหักของรหัสพันธุกรรมสูงกว่าคนปกติถึง 2 เท่า

"ควันธูปในวัดส่งผลอันตรายต่อประชาชน โดยเฉพาะกับพระสงฆ์ คนงานที่ทำงานในวัด แต่ที่น่ากังวลมากที่สุด คือ บริเวณศาลเจ้า หรือ วัดจีน โดยเฉพาะย่านเยาวราช ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการจุดธูปตลอดทั้งวัน และอากาศไม่ค่อยถ่ายเท ประกอบกับยังมีควันพิษจากท่อไอเสีย ทำให้เป็นแหล่งรวมสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด ที่สำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือการจุดธูปในบ้าน ตามความเชื่อและประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้มีควันธูปในบ้านมาก ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยธูป 3 ดอก สามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เทียบเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง" นพ.มนูญ กล่าวและว่า ผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Chemico biological/ interactions ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงเป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของธูปที่ไร้ควัน หรือธูปอโรมา มีสารก่อมะเร็งหรือไม่ นพ.มนูญ กล่าวว่า ธูปทุกชนิด ล้วนมีสารก่อมะเร็งทั้งสิ้น ธูปไร้ควันและธูปอโรมา เคยมีงานวิจัยออกมาพบว่า มีการปล่อยสารเบนซินมากกว่าธูปธรรมดาด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีการรณรงค์เรื่องนี้ให้ระมัดระวังกันถ้วนหน้า และต้องมีการรณรงค์ดับควันธูป โดยหลังจากจุดธูปแล้ว ควรมีการจุ่มธูปลงในน้ำหรือทรายก่อนปักลงในกระถาง จะช่วยลดควันธูปได้ และในอนาคต ภาคอุตสาหกรรมควรมีการผลิตธูปที่เมื่อจุดแล้วดับได้ทันทีภายในไม่กี่วินาที




ข้อมูลจาก ไทยรัฐ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-20 19:48:07


ความคิดเห็นที่ 20 (5617)

ข้อมูลนี้ไม่มั่นใจว่าได้มาจากไหนอาจจะเป็นที่ บัลวี แต่เป็นข้อควรรู้ไว้จึงเอามาให้ไว้ศึกษา

ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง 11   ประการ

1. ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมือทางการแพทย์จนกว่าจะ มีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์    หากไปพบหมอ  แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายหลังจากการตรวจ นั่นแค่หมายความว่า เครื่องมือทางการแพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากขนาดของเซลล์มะเร็งยังไม่มากพอ หรือขนาดยังไม่ให­่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ

2. เซลล์มะเร็ง  เกิดขึ้นมาก ถึง  6 -10 ครั้ง ใน 1 ช่วงชีวิตของมนุษย์

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง  เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย

4. เมื่อคนไข้ ถูกบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง   แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด หรือ โภชนาการไม่ดี  ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์  สิ่งแวดล้อม  อาหารหรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต

5. การเอาชนะเซลล์มะเร็ง  สามารถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

6. การให้คีโม  หรือสารเคมีบางชนิด   ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายเซลล์ท ี่ดีของร่างกายไปด้วยอย่างรวดเร็ว
ซึ่งอาจทำลายระบบของอวัยวะสำคั­ไปด้วย เช่น ตับ  ไต หัวใจ  หรือปอด

7.การฉายรังสี ก็จะทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื้อบางส่วนไหม้ เป็นแผลเป็น
และทำลายเซลล์  เนื่อเยื่อที่ดีไปด้วยเช่นกัน

8.โดยทั่วไปแล้ว การให้คีโม หรือการฉายรังสี อาจจะทำให้ขนาดของก้อนเซลล์มะเร็ง
ลดลง  แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีผลทำลายก้อนเนื้อไปมากกว่านั้น

9. เมื่อร่างกายต้องรับสารพิษจำนวนมาก จากการให้คีโมหรือการฉายแสง  ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นร่างกายก็ง่ายต่อการติดเชื้อหรือพ่ายแพ้เซลล์มะเร็ง

10.การให้คีโม หรือการฉายแสง อาจเป็นสาเหตุให้เซลล์มะเร็ง มีการกลายพันธุ์ หรือดื้อยา ทำให้ยากแก่การทำลาย การผ่าตัด ก็อาจสามารถทำให้ เซลล์มะเร็งกระจายไปยัส่วนอื่น

11.วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง  คือ หยุดการเจริ­เติบโตของเซลล์มะเร็ง
โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์มะเร็งจำเป็นต้องนำไปใช้

สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ

1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว equal   เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย

2. นมวัว ควรดื่ม น้ำนมถั่วเหลืองทดแทน

3.เซลล์มะเร็ง เจริญ­เติบโตในสภาพที่เป็นกรด  การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด ควรงด หมู เนื้อสัตว์ทั้งหมด เนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริ­ญเติบโตปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4.  80 % ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง   ธั­­ญพืช   จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว   น้ำผักและน้ำผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2 -3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที่ 40 องศา  c

5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด    หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่มีสภาพเป็นกรด

6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7. เซลล์มะเร็ง  มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การงดบริโภเนื้อสัตว์ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้งความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น  วิตามินอี วิตามินซี เซลี่เนียม เบต้าแคโรทีน Q10


9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิ­­ญญาณ การควบคุมอารมณ์
และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย  พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้   การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์

 

การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-20 20:04:36


ความคิดเห็นที่ 21 (7214)

หากท่านใดชอบแบบตํารับยาโบราณจริงๆก็ตามนี้เลยอ่ะ

1.ไปที่ร้านขายยาจีน   ซื้อบัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วันให้ต้มจนหมดชาม

2.หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมากๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน  ยานี้จะขับของเสียออกมาทางอุจจาระหรือปัสสาวะ  ไม่ต้องตกใจเพราะเป็นการขับของเสียออก  หมดแล้วจะหายเป็นปกติ ตำรานี้ห้ามซื้อขายหรือคิดค่ารักษาและขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวเด็ดขาด  หากผู้อื่นๆได้รับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตแล้วท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความเจริญและสมหวังทุกประการ

ท่านเจ้าคุณนิมิตร เจ้าคุณวัดกลาง 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น admin (srwtsnt-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-07 17:41:18


ความคิดเห็นที่ 22 (35802)

ข้อมูลสำหรับคุณผู้หญิงวัยทอง

เตือนรอบเดือนมากผิดปกติสัญญาณมะเร็งโพรงมดลูก

แพทย์ปิยะเวทเตือนสตรีที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ หากทิ้งไว้เสี่ยงเป็นมะเร็งโพรงมดลูก

นพ.พูนศักดิ์ สุชนวณิช สูติ-นรีแพทย์ สถาบันเพอร์เฟควูแมน โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ พบได้ถึง 1 ใน 5 ของผู้หญิงทั่วไป ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หากปล่อยทิ้งไว้ยังจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือกลายเป็นช็อกโกแลตซีสต์ และที่น่ากลัวที่สุดคืออาจกลายเป็นมะเร็งโพรงมดลูก

ลักษณะของอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ เช่น มามากกว่า 7 วันใน 1 เดือน ก้อนเลือดขนาดใหญ่มากกว่าที่เคยเป็น หรือประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1 ชั่วโมง

สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมามากผิดปกติ เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อาจเกิดจากเนื้องอกในมดลูก ความผิดปกติของฮอร์โมนทำให้สมดุลการหนาตัวของเยื่อบุและการลอกไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เนื้อเยื่อมีความผิดปกติเองโดยเป็นเนื้อที่เจริญเติบโตเร็วผิดปกติซึ่งสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ การได้ฮอร์โมนจากภายนอก เช่น การกินหรือฉีดยาคุมกำเนิด หญิงใกล้วัยทองซึ่งการทำงานของรังไข่เริ่มผิดปกติ เพราะฮอร์โมนต่อมใต้สมองเริ่มรวน จึงทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น

วิธีรักษาภาวะผิดปกติดังกล่าว มีทั้งการให้ฮอร์โมนเพื่อคุมรอบเดือนให้มาสม่ำเสมอ การขูดเยื่อบุโพรงมดลูก การสลายเนื้อเยื่อด้วยการใช้เลเซอร์จี้ด้วยความเย็นหรือจี้ด้วยความ

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:21:45


ความคิดเห็นที่ 23 (35803)

เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติสัญญาณเตือนภัยมะเร็ง

ประจำเดือนมีเดือนละครั้ง แต่หากเดือนไหนมามากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังมีเลือดมากผิดปกติหรือแม้แต่แค่กระปริดกระปรอยก็นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายอย่างมะเร็ง

ประจำเดือน หรือที่เรียกว่า “เมนส์” เป็นภาวะตามธรรมชาติที่เกิดจากการหลุดลอกของผนังมดลูกที่ไม่ได้มีการปฎิสนธิชึ่งร่างกายก็จะขับออกมาทุกเดือนโดยทั่วไปเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จะเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกอายุประมาณ 12-23 ปี ปกติจะมาครั้งละไม่เกิน 7 วัน ประจำเดือนจะมาเป็นประจำทุกรอบประมาณ21-35 วัน ก่อนจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนประมาณอายุ 45-55 ปี

 

เลือดออกมากผิดปกติ

ตามปกติแล้วปริมาณของประจำเดีอนที่ถูกขับออกมาในแต่ละเดือนนั้นจะไม่เท่ากัน

บางคนอาจจะมีประจำเดือนแค่ 3 วัน วันแรกมาเล็กน้อย วันที่สองมามาก และวันที่สามก็มีจาง ๆ แล้วหมดไป

หรีอบางคนอาจจะบอกว่าประจำเดือนมาที 5-6 วัน กว่าที่จะจางและหมดไปก็ครบอาทิตย์นึงพอดี


โดยทั่วไปในแต่ละวันประจำเดือนที่ถูกขับออกมาจะมีปริมาณอยู่ที่ 20-80 ซีชี หรือเฉลี่ยประมาณ 35 ซีซีแต่ที่ดูเหมือนว่ามามาก ก็เป็นเพราะว่าการขับออกมาของประจำเดือนจะเป็นลักษณะเหมือนน้ำหยด ไม่ได้ไหลพรวดเดียวเหมือนที่เราเทน้ำ แต่ประจำเดือนจะถูกขับออกมาทีละนิดอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะหมดนั่นเอง

แต่สำหรับบางรายที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดกระปรอย หรือมากกว่าปกติก็สร้างความกังวลใจให้กับคุณไม่น้อย พาลคิดไปต่างๆ นานาว่าจะเป็นโรคร้ายแรงอาการประจำเดือนมามากผิดปกติเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุอาจเกิดได้จากผลข้างเคียงของยาที่รับประทาน การใช้ยาคุมกำเนิด ความเครียด หรือเกิคจากภาวะติดเชื้อ

อาการเลือดออกผิดปกติที่เกิดจากมะเร็ง
ถ้าผู้หญิงมีอาการต่อไปนี้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจเกิดจากมะเร็ง
1. มืเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดกระปรอย ทุกวันหรือวันเว้นวัน
2. มีรอบประจำเดือนเร็วกว่า 21 วัน คือ นับจากวันที่เป็นครั้งแรก ถ้าหากมีประจำเดือน อีกครั้ง แต่ไน่ครบรอบ21 วันนั่นก็แสดงว่าเกิดความผิดปกติกับอวัยวะภายใน
3. มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน เช่น

    รอบนี้เริ่มมาวันที่ 1 มกราคม 2552 มาทั้งหมด 4 วัน

    รอบถัดไปเริ่มมาวันที่ 30 มกราคม 2552 มาทั้งหมด 4 วัน

    แต่ในวันที่ 15 มกราคม 2552 มีเลือดอออมาอีก


4. มีเลือดออกจากช่องคลอดปริมาณมากมีลักษณะเป็นก้อน ลิ่มเลือด หรือใช้ผ้าอนามัยมากกว่าวันละ 5 ผืน
5. มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
6. มีเลือดออกหลังจากเข้าสู่หมดประจำเดือนไปแล้ว

สาเหตุของอาการเลือดออกผิดปกติ ได้แก่
1. การมีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ได้คุมกำเนิดจนเกิดการตั้งครรภ์แล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่น แท้งบุตร
2. รับประทานยาบางชนิด ที่มีล่วนผสมของฮอร์โมน เพศหญิง เช่น กวาวเครือ ฉ็เป็นสาเหตุที่ทำให้มี เดือนออกมากผิดปกติ
3. ภาวะฮอร์โมนแปรปรวนในวัยที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
4. ภาวะฮอร์โมนแปรปรวนอันเนื่องมาจากความเครียด เช่น ใกล้สอบ นอนดึก ทะเลาะกับแฟน ก็เป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้
5. เกิดการอักเสบและติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่ษ ปากมดลูก หรือเยี่อบุโพรงมดลูก ก็สามารถทำให้เกิดแผลแล้วมีเลือดออกได้
6. มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติที่พบได้บ่อยเช่นกัน

          ประจำเดือนออกมากผิดปกติ ส่วนใหญ่แล้วมักพบว่าเป็นอาการนำของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ ซื่งถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักรีบรักษา อาการอาจลุกลามรุนแรงได้ทั้งนี้ หากคุณเองเป็นอีกคนหนึ่งที่มีปัญหาเลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของความผิดปกติ


          โดยทั่วไปแพทย์จะซักถามประวัติสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยในช่วงนี้ เช่น ประวัติการกินยา การคุมกำเนิดหลังจากนั้นก็จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดไข้ ความดันโลหิต ตรวจภายในและตรวจหามะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกัน ในกรณีที่แพทย์ไม่สามารถหาข้อสรุปของการมีเลือออกผิดปกติที่แน่ชัดได้ อาจจะต้องทำการตรวจเลือดตรวจอัลตราซาวน์ด หรือขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนี้อไปตรวจวินิจฉัยหาเซลล์มะเร็งต่อไป


ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในอย่างอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจมีการดำเนินโรคมาแล้วระยะหนึ่งแล้วจึงส่งสัญญาณเตือนภัยให้คุณทราบ การตรวจภายในประจำทุกปีก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการป้องกันจากโรคร้ายเนื่องจากสามารถตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการ และสามารถรักษาให้หายได้


          เมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนร้องขอการดูแล แล้วคุณจะนิ่งนอนใจได้เชียวหรือ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:23:46


ความคิดเห็นที่ 24 (35804)

เจ็บแปลบหน้าอก-เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
ข้อน่ารู้

1.ปกติผิวปอดทั้ง 2 ข้างของคนเราจะมีเยื่อหุ้มอยู่ 2 ชั้น ซึ่งมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ปอดสามารถหดและขยายตามจังหวะการหายใจออก-เข้า และระหว่างเยื่อหุ้มปอด 2 ชั้นนั้น จะมีช่องว่างอยู่เรียกว่า
“ช่องเยื่อหุ้มปอด”เยื่อหุ้มปอดที่อยู่ชั้นนอกจะมีประสาทรับสัมผัสกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มปอด ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้หากมีการอักเสบรุนแรงเกิดขึ้น ก็อาจมีน้ำหรือหนองซึมออกมาขังอยู่ใน “ช่องเยื่อหุ้มปอด” ถ้ามีปริมาณมากก็จะดันให้เนื้อปอดแฟบลง สูญเสียเนื้อที่ที่ใช้ในการหายใจ ทำให้เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อยได้ บางครั้งก็อาจมีการแตกของถุงลมปอด ทำให้มีลมรั่วเข้าไปขังอยู่ใน “ช่องเยื่อหุ้มปอด” ดันให้เนื้อปอดแฟบ เกิดอาการหอบเหนื่อยได้เช่นกัน

2.การอักเสบของเยื่อหุ้มปอดอาจเกิดจากสาเหตุได้หลายประการที่พบบ่อยก็คือ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย บางครั้งเชื้ออาจลุกลามมาจากโรคที่เกิดในเนื้อปอดก็ได้ เช่น วัณโรคปอด ปอดอักเสบ (ปอดบวม) เป็นต้น ในภาวะที่มีน้ำหรือหนอง หรือลมรั่วออกมาขังอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอดก็อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด เกิดอาการเจ็บแปลบหน้าอกได้เช่นกัน
สาเหตุที่พบได้น้อย แต่ร้ายแรงก็คือ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่เยื่อหุ้มปอด ซึ่งมะเร็งต้นเหตุอาจอยู่ที่เนื้อปอด เต้านม หรือรังไข่ก็ได้ เยื่อหุ้มปอดอักเสบจึงมีความรุนแรงมากน้อยขึ้นกับสาเหตุที่พบ


รู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้เป็นอื่น
คนที่เป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจะมีอาการเจ็บหน้าอกที่มีลักษณะจำเพาะคือ จะมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเพียงจุดใดจุดหนึ่ง (ตรงกับตำแหน่งที่มีอาการอักเสบ) อาจเป็นซีกซ้ายหรือซีกขวาก็ได้ จะเจ็บเพียงชั่วขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ ซึ่งปอดขยายตัวเต็มที่ ทำให้ส่วนที่อักเสบเกิดมีการเสียดสีขึ้นมา ขณะหายใจออกหรือหายใจแบบค่อย ๆ จะไม่มีอาการเจ็บหน้าอก
ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรง ก็มักจะไม่มีอาการผิดปกติอื่นใดร่วมด้วย และค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 3-5 วัน

แต่ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากสาเหตุที่รุนแรง นอกจากอาการเจ็บแปลบหน้าอกดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
1. ปอดอักเสบ จะมีไข้สูง ไอมีเสลดเป็นหนอง หายใจหอบร่วมด้วย
2. วัณโรคปอด จะมีไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดร่วมด้วย
3. ภาวะมีน้ำหรือหนองหรือลมขังอยู่ในช่องหุ้มปอดจะมีอาการแน่นอึดอัด หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย
4. มะเร็ง อาจมีอาการไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย
สาเหตุดังกล่าวล้วนถือเป็นเรื่องร้ายแรง หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะอื่นที่ควรจะรู้จักไว้เพื่อการแยกแยะโรค ดังนี้
1.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จะมีอาการเจ็บแน่นตรงกลางลิ้นปี่ แล้วปวดร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร หรือต้นแขน นานครั้งละ 2-3 นาที มักปวดเวลาออกแรง หรือมีอารมณ์เครียด หรือหลังกินอิ่ม หรือหลังถูกความเย็น เมื่อนั่งพักสักครู่จะหายปวดได้เอง มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป อาจมีประวัติสูบบุหรี่จัด หรือเป็นเบาหวาน หรือความดันเลือดสูง

2.โรคหน้าอกยอก คนที่มีกระดูกหรือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกยอก เช่น ถูกกระทบกระแทก ชกต่อยหรือประสบอุบัติเหตุ จะมีอาการปวดยอกตรงจุดใดจุดหนึ่ง เมื่อเอานิ้วกดดูจะเจ็บมากขึ้น มักเป็นอยู่นาน1-2 สัปดาห์

3.โรคกังวลใจ คนที่มีความวิตกกังวลคิดมาก บางครั้งอาจมีความรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่ตลอดเวลา จะรู้สึกเจ็บเวลาอยู่ว่าง ๆ หรือขณะนั่งหรือนอนอยู่เฉย ๆ แต่เวลาทำอะไรเพลินหรือออกกำลังกายจะหายเจ็บ โดยที่อาการไม่รุนแรงและสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี บางคนอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย


เมื่อไรควรไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์โดยเร็วเมื่อ
1. มีอาการไข้ ไอมีเสลดเป็นหนอง ไอเป็นเลือด รู้สึกแน่นอึดอัดในอก หายใจหอบเหนื่อย หรือน้ำหนักลดร่วมด้วย
2. มีอาการเจ็บแน่นตรงกลางลิ้นปี่ และปวดร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร หรือต้นแขน
3. อาการไม่ทุเลาใน 3 วัน
4. มีความวิตกกังวล


แพทย์จะทำอะไรให้
แพทย์จะซักถามลักษณะอาการปวดหน้าอก ตำแหน่งที่ปวด และสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการ จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจปอด และหัวใจ บางครั้งอาจต้องส่งตรวจเอกซเรย์ปอด คลื่นหัวใจ หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ
ถ้าพบว่าเป็นเพียงโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากไวรัส ซึ่งจะตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด ก็จะให้ยาบรรเทาปวดและนัดดูอาการใน 2-3 วันต่อมา ถ้าพบว่ามีสาเหตุร้ายแรง เช่น ปอดอักเสบ ภาวะมีลมหรือน้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด ก็จำเป็น ต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าจะปลอดภัย
ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคปอดก็จะให้ยารักษาวัณโรคกินนาน 6-12 เดือน

โดยสรุป อาการเจ็บแปลบหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ เป็นอาการของเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุต่าง ๆ หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีก็สามารถดูแลตนเองได้ หากไม่ทุเลาใน 3 วัน ก็ควรจะพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป 
 

การดูแลตนเอง

เมื่อมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เป็นบางครั้งบางคราว โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรปฏิบัติตัวดังนี้
1. พยายามหายใจเข้า-ออกตามปกติ อย่าเผลอหายใจเข้าลึก ๆ
2. ถ้าปวดมาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:31:05


ความคิดเห็นที่ 25 (35922)

วิตามินที่ควรกินประจำในการเสริมสร้างร่างกายต่อสู้กับมะเร็ง

 

1.วิตามิน ซี ขนาด1000 mg. กินเช้า3เม็ด กลางวัน ม็ด เย็น2เม็ด ก่อนนอน2เม็ด 

หากไม่เคยกิน ช่วงแรกกินวิตามินซีอาจจะมีอาการท้องเสียได้ เริ่มแรกอาจจะกินแบบทีละนิดคือ
เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน อย่างละ 1เม็ด พอไม่มีอาการท้องเสียก็ค่อยๆเพิ่มตามที่บอกไว้
 
2.
เบต้า แคโรทีน ขนาด 6 mg.กินวันละ3มื้อ เช้า กลางวัน เย็น มื้อละ 5-10 เม็ด หากกินแล้วตัวเหลือง
ก็ค่อยๆลดลงต้องคอยดูร่างกายและปรับลดเพิ่มเอา ร่างกายเหลือง เบต้าไม่เป็นไร
 
3.
วิตามิน อี ขนาด 400 IU  กินวันละ1เม็ด หลังอาหารเช้า
 
4.
เซลีเนียม ขนาด100 mcg. กินเช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด หลังอาหาร
 
5.Bio Q10
ขนาด100 mg. กินตื่นนอนเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด ตัวนี้จะแพงกล่องหนึ่ง3950บาท

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-04-02 10:37:21


ความคิดเห็นที่ 26 (35923)

เพิ่มเติมข้อมูล

วิตามินซีและเบต้ากินหลังอาหารครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-04-02 13:08:21


ความคิดเห็นที่ 27 (36851)

วิธีสังเกตมะเร็งชนิดต่าง ๆ

1. มะเร็งปากมดลูก
อาการ
มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจาก บริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก
อาการ
มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง


3. มะเร็งรังไข่
อาการ
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
อาการ
เหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด
อาการ
มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ
อาการ
ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการ
มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง
อาการ
ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของ การมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก
อาการ
มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ
อาการ
เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
อาการ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรือ อาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก
อาการ
มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอก หนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อ มีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควร ต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้
อาการ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

****
ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดง สดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการ
มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด

นอกจากนี้อาการ อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่า เคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ


และขอแถมต่อท้ายด้วย

ข้าวโพดสุกต้านมะเร็งได้?  หาง่ายราคาก็ไม่แพงนะคะ

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้ กินดิบๆ ไม่ได้ แต ่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่าง อื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น Amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-10 23:01:44


ความคิดเห็นที่ 28 (36916)

สูตรน้ำผักผลไม้ต้านมะเร็ง

น้ำผักและผลไม้ 8 แก้วใน 1 วัน ให้จัดเวลาดังนี้

 

1. มื้อเช้ามืด             น้ำส้มคั้น                 1 แก้ว

    (เครื่องคั้นด้วยมือปลอกเปลือกก่อนคั้น)

2. หลังอาหารเช้า       น้ำแครอต                1 แก้ว

3. มื้อ 10 โมงเช้า       น้ำถั่วงอก                1 แก้ว

4. หลังอาหารเที่ยง     น้ำมะละกอ               1 แก้ว

5. มื้อบ่าย 3 โมงเย็น   น้ำตำลึง                   1 แก้ว

6. มื้อบ่าย 5 โมงเย็น   น้ำแครอต                 1 แก้ว

7. หลังอาหารเย็น       น้ำถั่วงอก                 1 แก้ว

8. มื้อก่อนนอน          น้ำมะละกอ                1 แก้ว

 

การใช้เครื่อง juicer คั้นผักสดและผลไม้สดจะต้องคั้น

ผ่านผ้าขาวบางทุกสูตร และให้เอากากมาคั้นต่อด้วย

ผ้าขาวบางทุกครั้งเพราะเอนไซม์และเกลือแร่ที่ต้องการ

ยังค้างอยู่กับกากอีกมาก

 

สูตร 1   ใช้แครอต 2 หัว บีตรูต 1 หัว คั้นผ่านเครื่อง

           โดยแต่งความหวานด้วยแอปเปิ้ลครึ่งลูก

สูตร2    ใช้มะละกอสุกห่ามๆคั้นผ่านเครื่อง

สูตร3    น้ำส้มคั้น ให้ปลอกเปลือก คั้นด้วยเครื่องแบบมือโยกหรือกด

สูตร4    น้ำตำลึง ใช้ตำลึง 1-2 กำมือ คั้นผ่านเครื่อง

           และใช้น้ำฝรั่งคั้นผ่านเครื่อง สัก 1/3 แก้ว

           เพื่อเป็นน้ำสำหรับผสมกับน้ำตำลึง

สูตร5    น้ำถั่วงอก ใช้ถั่วงอก ½ กก.คั้นผ่านเครื่อง

           และใช้แคนตาลูปสกัดด้วยเครื่อง

           สัก 1/3 แก้วเพื่อเป็นน้ำสำหรับผสมกับน้ำถั่วงอก

           บีบมะนาวเพื่อแต่งรส

สูตร6    น้ำก้านผักรวม ใช้ก้านคะน้า กะหล่ำปลี ปวยเล้ง

           กวางตุ้ง ผักกาดขาว สกัดผ่านเครื่อง

           แล้วแต่งความหวานด้วยแอปเปิ้ลหรือแคนตาลูบ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:23:13


ความคิดเห็นที่ 29 (36917)

น้ำผักและผลไม้จะต้องคั้นและให้กินทันทีไม่ควรคั้นทิ้งไว้แช่ตู้เย็น

(ข้อมูลจากบัลวี)

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:25:00


ความคิดเห็นที่ 30 (36918)

สูตร ซุปโพแทสเซียม

 

กระหล่ำปรี                                 1 หัว                  

หอมใหญ่                                   4 หัว

แครอท                                       2 หัว        

มะเขือเทศ                                  2 ลูก

เปลือกมันฝรั่งติดเนื้อหนา            2ลูก

 

ใส่ผักใบเขียวทุกชนิดเท่าที่มี ผสมเข้าไปด้วยเช่น กะหล่ำปรี

ปวยเล้ง คะน้า และผักพื้นบ้านต่างๆ

ใส่น้ำปริ่มๆแล้วต้มด้วยไฟอ่อนๆจนได้น้ำซุปข้นๆ ใส่ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา

 

* ใช้น้ำซุปแทนน้ำมันต่างๆในการทำอาหารพวกผัดผักต่างๆ

 

(ข้อมูลจากบัลวี)

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:27:11


ความคิดเห็นที่ 31 (36919)

อาหารที่สร้างเม็ดเลือดขาว ลิมฟ์โฟซัย

 

1.ข้าวกล้อง หรือ เส้นหมี่ข้าวกล้อง วีเจิร์ม รำข้าว ข้าวโพด ทุกมื้อ

2.สาหร่ายทะเล มันฝรั่ง ทุกมื้อ

3.น้ำซุปโปรแทสเซียม ทุกมื้อ

4.ผักใบเขียวจัดๆ และผักต่างๆ เช่น ถั่วงอก ตำลึง ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ

5.พวกผลไม้ต่างๆเช่นส้ม แคนตาลูป กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล

 

ในแต่ละวันต้องกินให้ได้ครบเพื่อสร้างเม็ดเลือดขาว ลิมฟ์โฟซัย

(เม็ดเลือดขาว ลิมฟ์โฟซัย  เปรียบเหมือนทหารที่คอยฆ่าเชื้อมะเร็ง)

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:29:38


ความคิดเห็นที่ 32 (37041)

เรียนพี่พลวัฒน์ และ เอมี่

ทั้งสองท่านสุขภาพแข็งแรงดีนะครับ ผมอยากสอบถามทางพี่พลวัฒนน์ น้ำซุปโปรแทสเซียม เป็นอย่างไร ทำจากอะไร อยากให้ช่วยขยายความครับ

อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-05-18 11:30:58


ความคิดเห็นที่ 33 (37086)

amy รายงานตัวสุขภาพโดยรวมยังไม่มีอะไร บ่งชี้ไปในทางลบเป็นพิเศษนะคะคงพอจะพูดได้ว่าสบายดีพอสังเขป อิอิ ยังระลึกถึงอาจารย์สมพร และอาจารย์ทุกๆท่านที่บ้านฮวงจุ้ยเสมอนะคะเพียงแต่ช่วงนี้ยุ่งกับกิจวัตรประจําวันและคิดค้นหาวิธี ข้ามวันคืนที่เศรฐกิจชลอตัวมากๆอย่างปัจจุบันค่ะยังคงไปวัดทําบุญและสงเคราะห์สัตว์ตกยากและ ผู้คนทั้งป่วยและไม่ป่วยที่แวะเวียนมาปรึกษาตามที่อาจารย์ทุกๆท่าน ยําให้ทํากุศลมากๆอยู่เสมอนะคะ เดี๋ยวอีกสักพักให้เหตุการต่างแถวๆนี้คลี่คลายชัดเจนกว่านี้อีกนิดนะคะ จะรีบไปกราบเยี่ยมอาจารย์ทันทีเลยค่ะ อืมม์โอยว่ามาซะยาว อจารย์สมพร สบายดีนะคะขอให้อาจารย์สมพรและอาจารย์ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงตลอด และมีทุกสิ่งที่ดีๆตลอดนะคะ และพี่พลวัฒน์กับข้อมูลต่างๆที่นําขึ้นโพสให้ทั้งผู้ป่วยและญาติรวมทั้งทุกท่านที่ใฝ่ข้อมูลขอบอกเจ๋งมากสุดยอดเลยค่ะ มีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากๆต้องขอโทษนะคะที่ไม่ค่อยได้เข้ามาช่วยเท่าไรแต่ติดตามอยู่เงียบๆเสมอนะคะและว่างแล้วไปเจอข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์จะมานําเสนอนะคะ

ระลึกถึงทุกๆท่านเสมอ

และขอแสดงความนับถืออาจารย์ทุกๆท่านและพี่พลวัฒน์มาในโฮกาสนี้นะคะ

Amy

ผู้แสดงความคิดเห็น Amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-20 01:36:32


ความคิดเห็นที่ 34 (37122)

เรียน อาจารย์ สมพร

น้ำซุปโปตัสเซี่ยม ก็ทำจากวิธีการที่ผมบอกข้างต้น มันเป็นสูตรอาหารต้านมะเร็ง

รวมทั้งน้ำผักและน้ำผลไม้ที่ผมโพสไว้ วิธีการทำก็ตามที่ผมโพสไว้ เมื่อได้น้ำซุปมา

หากใช้ไม่หมดก็เอามาใส่ถุงพลาสติกแช่แข็งในช่องFreeze แบ่งเป็นถุงที่จะใช้แต่ละครั้ง

เก็บด้วยวิธีนี้ก็จะใช้ได้นานหลายวันต่อการทำน้ำซุปหนึ่งครั้ง

 

ในร่างกายคนเรา จะมีเกลือแร่จะมีอยู่ 2 ตัว คือโซเดียมและโปตัสเซี่ยม 

 

ตัวที่เป็นโซเดียมต้องคอยระวังเพราะมะเร็งมันชอบครับ

 

ส่วนตัวที่เป็นโปรตัสเซี่ยมจะมีประโยชน์มากกว่า

 

น้ำซุปโปตัสเซี่ยม จะอุดมไปด้วยโปตัสเซี่ยม ซึ่งเป็นเกลือแร่ตัวสำคัญที่จะเพิ่มภูมิต้านทานที่จะใช้สู้กับมะเร็ง 

จะใช้น้ำซุปนี้แทนน้ำมันในการผัดอาหารก็ได้ยิ่งดีมากเพราะคนเป็นมะเร็งต้องหลีกการใช้น้ำมัน

จะใช้แทนน้ำแกงน้ำซุปทานกับอาหาร หรือจะใช้ปรุงอาหารแทนน้ำได้หมด มีคุณค่ามากกว่า 

น้ำซุปโปตัสเซี่ยมเป็นสูตรอาหารต้านมะเร็ง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี

 

แต่ซุปนี้ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคไต เพราะ

คนเป็นโรคไตจะขับโปรตัสเซี่ยมออกจากร่างกายไม่เก่งอยู่แล้ว

หากกินเข้าไปอีก มันจะทำให้มีโปตัสเซี่ยมมากไปแล้วจะเป็นอันตราย

 

ปล.ว่างๆคุณเอมี่ก็เข้ามาช่วยกันครับในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์รักษาสุขภาพด้วยอย่าประมาท

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ (phonlawatv-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-21 19:53:50


ความคิดเห็นที่ 35 (37123)

ยุทธศาสตร์ 4 อ.(จากเวปคุณมนตรีที่เป็นมะเร็งและรักษาด้วยธรรมชาติบำบัดจนหายเป็นปกติจนทุกวันนี้)

 

บางครั้งเราก็ลืมๆไปเหมือนกันว่า ร่างกาย สังขารของเราซึ่งเกิดจากท้องแม่มานั้นมันเป็นไปตามกฏธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วดับสูญไปตามกฏของพระไตรลักษณ์ คือ  อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ชีวิตคนเรานั้นเป็นผลิตผลของธรรมชาติ บนพิภพ บนโลกนี้.....ก็ "โลกมนุษย์" ใบที่เราแย่งกันอยู่ แย่งกันกินนี่แหละ
มนุษย์ เกิดขึ้นจาก"กรรม"ของแต่ละคน ประกอบขึ้นด้วย กาย และ ใจ

ภาษาพระท่านเรียกว่า "รูปธรรม-นามธรรม"


กาย และ ใจ จึงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับโลก ซึ่งก็คือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ในเมื่อกาย และ ใจ ซึ่งเป็นโครงสร้างของมนุษย์ต้องดำเนินไปตามกฏของธรรมชาติ


การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติรอบๆตัวคือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เพราะร่างกายของเราก็ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่นี่แหละ

สัตว์ทั้งหลายมันก็ดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช้ผลิตผลของธรรมชาติ

ตั้งแต่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค มาตลอดชีวิต


ถ้าเป็นมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ใช้ "ปัจจัยสี่" จากธรรมชาติครบเลย
แต่มนุษย์ปัจจุบันกลับพยายามหนีธรรมชาติ หนีความจริง หา"ธรรมชาติเทียม"มาเป็นที่พึ่งพิง

อยู่ในโลกของเคมีวัตถุทั้งอาหาร บรรยากาศติดยึดอย่างเหนียวแน่นกับโลกวัตถุซึ่งเต็มไปด้วยสารพิษ

หลงงมงายยึดเป็นค่านิยมจนวาระสุดท้าย


ด้วยวิธีคิดเช่นนี้แหละจึงเป็นที่มาของ"การคืนสู่ธรรมชาติ" (Back to Nature)

ของมนุษย์ที่เห็นผิดเป็นชอบทั้งหลาย กลับตัวกลับใจเร็วๆ..ยังไม่สายเกินไปเด้อ !

พืชผลทางเกษตรเขายังพยายามเลิกใช้สารเคมีหันมาใช้สารชีวภาพซึ่งทำจากธรรมชาติล้วนๆ
และนี่ก็คือที่มาของการรักษาโรคโดยการนำธรรมชาติบำบัดมาบูรณาการระบบการกินการอยู่เสียใหม่

เพื่อสร้างภูมิต้านโรค


ยุทธศาสตร์ 4อ.ซึ่งประกอบด้วย อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย จึงเป็นไปตามแนวทางธรรมชาติ
บำบัด "ใจ" ด้วย อารมณ์(พลังใจ)
บำบัด"กาย"ด้วย อากาศ อาหาร ออกกำลังกาย

 

เริ่มจาก อ.ที่หนึ่ง "อารมณ์"


คนที่เป็นมะเร็งจำไว้เลย.."ห้ามเครียด" ต้องทำตัวให้มีอารมณ์แจ่มใสเสมอ ความเครียดนั้นทำให้ก่อเกิดอนุมูลอิสระซึ่งจะไปทำลายเซลล์ดีๆทั่วไป คนที่มีความ โกรธ เกลียด ริษยา อาฆาต วิตกกังวล มองอะไรในแง่ร้าย ต่อมหมวกไตจะสร้าง "สารบาป" ออกมาซึมเข้าโลหิต ไปออกฤทธิกับอวัยวะต่างๆเช่น

สาร Adrenaline จะทำให้หัวใจเต้นแรง เส้นโลหิตหดเกร็ง ถ้าหดจนตีบตัน หัวใจก็อาจจะวายเฉียบพลัน

สาร Steroid ถ้ามีจำนวนที่ผิดปกติอาจจะทำให้การหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารผิดเพี้ยนได้ ถ้ามากไปน้ำย่อยก็จะไปกัดผนังด้านในกระเพาะอาหาร ถ้าน้อยเกินไปก็จะทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย

สาร Lactic Acid ถ้าเกิดขึ้นมากไปก็อาจไปทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน


ในทางกลับกันถ้าบุคคลซึ่งมีจิตเป็นสัมมาทิฐิ มีความเมตตาปราณี มองโลกในแง่ดี มีสติ สมาธิ จิตใจเบิกบาน ต่อมใต้สมองก็จะสร้าง"สารบุญ" หรือ Endorphine ออกมาเป็นประจำส่งผลให้กายใจเบาสบาย เกิดความปิติ กินได้นอนหลับ เม็ดเลือดขาวก็จะแข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันได้สูง ส่งผลให้เซลล์มะเร็งหยุดหรือลุกลามช้าลง

 

อ.ที่สอง "อาหาร"


อาหารในความหมายของธรรมชาติบำบัดนั้นคืออาหารที่เกิดจากกระบวนการผลิตจากธรรมชาติโดยตรง(Organic Food) ยกตัวอย่างพืชผลที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีในการบำรุงเลี้ยงดู และไม่ใช้สารเคมีฆ่าแมลง แต่จะใช้พวกชีวภาพแทน เช่นปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช นอกจากนั้นเวลาที่แปรรูปก็ไม่ใช้กระบวนการทางเคมีใดๆ เช่น การฟอกขาว การใส่สารเคมีเพิ่มสีสันหรือรสชาติใดๆทั้งสิ้น

 

สำหรับเนื้อสัตว์ก็ต้องไม่ใช้กระบวนการเคมีในการเลี้ยงดูจนถึงขั้นการแปรรูปเช่นเดียวกัน ไม่มีการขุนสัตว์ด้วยยาหรือที่มีส่วนผสมทางเคมี ไม่มีการใส่สารเพิ่มสี หรือใช้โซเดียมไนไตร์เพื่อยืดอายุเนื้อสัตว์ที่แปรรูปอันเป็นสาเหตุให้เกิดสารก่อมะเร็งได้

 

โดยสรุปแล้ว อาหารสำหรับผู้ฟื้นฟูสุขภาพควรเป็นอาหารที่เป็นธรรมชาติ เช่น พืชผักผลไม้ นำมาต้ม นึ่ง หรือทานสดๆก็ยิ่งดี หรือจะนำมาคั้นหรือปั่นก็จะเพิ่มความหลากหลายชวนให้บริโภคมากขึ้น อาหารควรอย่างยิ่งที่จะปลอดสารพิษ ปรุงแต่งง่ายๆไม่สลับซับซ้อน เช่นต้มแล้วเอาไปย่าง ต้มแล้วเอาไปอบ ให้มันเกิดภาวะเชิงซ้อนทางเคมี แทนที่จะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น เอาไปต้ม หรือเอาไปนึ่ง ซึ่งจะไม่ทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์เกิดการแปลกแยกออกไป

 

นอกจากนั้นอาหารไม่ควรจะมีรสจัด เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม สารพัดรส และประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่ก็ควรจะลดลงบ้างเพื่อหนีห่างจากภาวะไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ควรมาเน้นหนักที่พืชผักผลไม้(ที่ปลอดสารพิษ) รวมทั้งธัญพืชต่างๆที่มีผลิตภัณฑ์มากมาย ทั้งถั่วงาทั้งหลาย สาหร่าย นมถั่วเหลือง โปรตีนเกษตร

 

รวมทั้งข้าวที่ไม่ขัดข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ อาหารธรรมชาติเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้ระบบขับถ่ายไม่มีปัญหาแล้วยังช่วยลดการสะสมสารพิษและไขมันที่ไปอุดตันในหลอดเลือดทั่วร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทั้งหลาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ระบบหัวใจล้มเหลว จนกระทั่งมะเร็ง

 

ก็อยากจะชวนให้ละลดเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เป็ดไก่ หันมาทานประเภทปลาบ้าง โดยเฉพาะปลาทะเลเนื้อขาวซึ่งมีไขมันเลวต่ำ แต่มีไขมันดี(Omega-3)ที่เป็นประโยชน์

 

ประเภทต่อไปนี้ก็ควรลดเหมือนกัน คืออาหารที่อุดมด้วยไขมันและน้ำตาลทราย(ฟอกขาวด้วยสารเคมี) เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม เค้ก ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขัดขาว เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ฯลฯ (เดี๋ยวนี้มีเส้นก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น ขนมจีน และขนมปังที่ไม่ได้ทำจากแป้งขัดขาวแล้ว)

 

อีกประเภทหนึ่งที่ควรจะลดหรือเลิกไปเลยก็คือประเภทที่มีไขมันเชิงเดี่ยวหรือไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ กะทิ น้ำมันพืชบางชนิด อาหารที่ใช้สำหรับธรรมชาติบำบัดนี้มีแหล่งข้อมูลให่ศึกษามากมาย โดยเฉพาะกลุ่มชีวจิต และชมรมมังสวิรัติทั้งหลาย

 

อ.ที่สาม "อากาศ"


การที่ผู้ป่วยที่ต้องการบำบัดพักฟื้นต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีปัญหาเรื่องมลภาวะนั้นเท่ากับเป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงยิ่งขึ้นไปอีก ความจริงไม่ต้องผู้ป่วยหรอกครับคนปกติทั้งหายที่สูดอากาศที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งหายเข้าไปทุกวันก็แย่แล้ว เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มต้นทุนสารพิษเข้าไปสะสมในร่างกาย ดอกเบี้ยที่ได้ก็คืออนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์ดีๆ ไปทำลายเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นกำลังสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ที่ปกป้องโรคภัยไข้เจ็บที่จะเข้ามาเบียดเบียนชีวิต


แต่ในทางกลับกันถ้าผู้ป่วยอยู่ในสภาพอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดสารพิษ ก็จะเป็นการลดภาวะเสี่ยงดังกล่าวไปได้ ยิ่งถ้าได้อยู่ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดีก็เหมือนกับว่าได้ยาอายุวัฒนะประมาณนั้นเลย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายเป็นเขตปลอดสารพิษแล้ว ทางด้านจิตใจก็จะเกิดความสดใส กระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย สุขภาพกายก็จะดี สุขภาพจิตก็จะดีเช่นกัน.... ทำให้เชื้อโรคมันอดอยากปากแห้ง ไม่อยากอยู่กับเรา

 

อ.ที่สี่ "ออกกำลังกาย"


การออกกำลังกายในความหมายของธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะเพื่อการรักษาโรค เบาหวาน แล ะมะเร็ง ควรเป็นแบบ Aerobic คือการออกกำลังกายกลางแจ้ง ใช้เวลาอย่างต่อเนื่องทำซ้ำๆให้เหงื่อออกชุ่มตัว เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้นแอโรบิค

 

จะได้ผลมากกว่า ไปเล่นกอล์ฟ หรือโยนโบว์ลิ่ง รวมทั้งการออกกำลังกายในที่อากาศไม่สามารถถ่ายเทได้ดี หรือในห้องที่เราไม่สามารถสูดอากาศที่บริสุทธิ์เข้าปอดขนะที่กำลังใช้พลัง

 

เหตุที่ควรจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดนั้นก็เพราะกระบวนการเคมีในร่างกาย เช่น การเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน( Metabolism ) จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ไม่ปนเปื้อนสารพิษ

 

การออกกำลังกายที่ดีควรทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อให้เหงื่อขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายออกมาบ้าง และช่วยให้ปอดใช้ออกซิเจนใหม่ๆสดๆที่สูดจากกลางแจ้งนำไปฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงส่งต่อให้หัวใจได้ทำหน้าที่สูบฉีดไปหล่อเลี้ยงทั่วร่ากายอย่างมีประสิทธิภาพ

 

การออกกำลังกายที่ถึงระดับที่เรียกว่า Peak จะทำให้ร่างกายหลั่งสาร Growth Hormone ออกมาจากต่อมใต้สมองทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า เหมือนได้น้ำทิพย์มาโชลมร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเป็นการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ เป็นยาอายุวัฒนะอีกขนานหนึ่ง

 

สรุปตรงนี้ได้เลยว่า การบำบัดรักษาโรคมะเร็งโดยการใช้"ยุทธศาสตร์ 4อ."นี้ มีแต่ได้ ไม่มีเสีย มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน อย่างมากก็เสมอตัว ถ้าท่านทำได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีผลข้างเคียง เพราะกระบวนการทั้งหมดเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ไม่ใช่"ธรรมชาติเทียม" หรืออะไรที่เป็นสารเคมีทั้งหลายในรูปยา หรืออาหารที่ถูกดัดแปลงรสชาติ สีสัน รวมทั้งการยืดอายุการบริโภค


การบำบัดโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องลงทุนเสียเงินเสียทองสิ้นเปลืองมากมายเหมือนวิธีอื่นๆ เป็นสิ่งที่เรียกว่าการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ซึ่งสามารถดำเนินวิธีรักษาควบคู่ไปกับการแพทย์แผนปัจจุบันได้ เช่น การใช้สมุนไพร การฝังเข็ม การนวด การกดจุด วารีบำบัด การใช้พลังจิต หรือ พลังจักรวาล ซึ่งเป็นแนวทางธรรมชาติบำบัดเช่นเดียวกัน.

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-21 20:13:09


ความคิดเห็นที่ 36 (37140)

เรียน อาจารย์สมพร

 

ข้อมูลเรื่อง มะรุม ที่ผมหามาได้ ลองอ่านดูครับ มีเรื่องจริงจากผู้ใช้ด้วย

มะรุม พืชมหัศจรรย์  http://thaiherbclinic.com/node/141?page=1

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-22 13:46:36


ความคิดเห็นที่ 37 (37315)

เรียนพี่พลวัฒน์

ขอบคุณที่หาข้อมูล เรื่องมะรุมมาให้อ่าน ดีมากครับ

สมพร บ้านฮวงจุ้ย

ผู้แสดงความคิดเห็น สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-05-30 21:43:07


ความคิดเห็นที่ 38 (37582)

เรียนอาจารย์สมพร

ตอนนี้ผมลองทำเวปเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งเพิ่มอีก1ช่องทางครับ

http://phonlawat.freeforums.org/

พลวัฒน์

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-07-09 21:19:27


ความคิดเห็นที่ 39 (37944)

เรียนพี่พลวัฒน์

ยินดีด้วยครับ จะได้มีแหล่งข้อมูลที่ให้ทุกคนที่เดือดร้อน ได้เป็นที่พึงสอบถามข้อมูล และหากต้องการความช่วยเหลือประการได้ ไม่ต้องเกรงใจนะยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ เว็บพี่ทำสวยดีครับ

อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-06-23 11:46:09


ความคิดเห็นที่ 40 (38061)

เรียน อาจารย์สมพร

ไม่ได้เข้ามาตอบเพราะป่วยไปหลายวันเพราะทุ่มเททำเวป

เวปผมเวปฟรีพยายามทำโดยที่ไม่มีความรู้ อาศัยการเรียนรู้

และสอบถามคนที่รู้ที่ช่วยเหลือเลยออกมาแบบที่เห็น

ปัญหาตอนนี้เท่าที่เปิดมาเกือบ2เดือนคือคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจ

ข้อมูลสุขภาพพวกนี้เพราะคิดว่ายังไกลตัว เลยประมาท

แต่หากมีข้อมูลจะรู้ว่ามันอยู่ในตัวพร้อมที่จะออกมาเล่นงานได้ตลอด

ผมต้องการให้ข้อมูลความรู้แก่คนทั่วไป เพื่อป้องกันที่ต้นเหตุ

หากคนรู้และเข้าใจมะเร็งโรคร้ายก็จะห่างไกล

ทุกวันนี้หมอส่วนใหญ่รักษาที่ปลายเหตุและรักษาแบบตามตำรา

ไม่มองทางเลือกมาผสมผสาน กรณีล่าสุด ฟาร่าห์ ฟอร์เซ็ท

ดาราดังต้องตายด้วยโรคมะเร็งลำไส้ทั้งที่รักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย

หากเธอและคนใกล้ชิดมีความรูข้อมูลหลายๆทาง เธอคงไม่ตาย

เหมือนยอดรัก สลักใจก็เช่นเดียวกัน

มะเร็งต้องสู้ด้วยร่างกายของเราหากร่างกายเราถูกทำลายด้วยสารเคมีทางวิทยาศาตร์

ที่หวังจะเข้าไปฆ่ามะเร็งแต่ก็ฆ่าตัวเองด้วยและมะเร็งมักไม่ตายคนจะตายก่อน

เพราะร่างกายอ่อนแอลงมะเร็งก็เติบโต จะต้องให้ร่างกายแข็งแรงด้วยแพทย์องก์รวม

ผสมผสานกันไม่ใช่ฆ่าล้างเฟ่าพันธ์อย่างเดียวของหมอแผนปัจจุบัน ตายกับตายเท่านั้น

ร่างกายกลับสู่ธรรมชาตินั้นแหละคือหนทางที่ถูกที่สุดในการกำจัดโรคภัยทุกอย่าง

ขอบคุณครับสำหรับความช่วยเหลือ

พลวัฒน์

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒฯ วันที่ตอบ 2009-06-28 01:58:31


ความคิดเห็นที่ 41 (38062)

ผมต้องการความช่วยเหลือในการช่วยจุดเทียนแห่งความรู้

ให้แสงสว่างกับคนให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมพยายามทำ

หาคนมาช่วยจุดเทียนความรู้ให้ผมได้ก็ดีครับขอบคุณมากๆ

ผมส่งข่าวออกไปมากมายแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร

ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ

พลวัฒน์

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-06-28 02:03:11


ความคิดเห็นที่ 42 (38740)

อยากถามเรื่องเห็ดกระดุมบราซิลช่วยเรื่องมะเร็งหรือไม่คับ

เหนในเวปที่ญี่ปุ่นขายอยู่กล่องละเกือบสามหมื่นเยนอ่ะคับ

www.cremona.co.jp

ผู้แสดงความคิดเห็น zendo วันที่ตอบ 2009-07-24 21:16:06


ความคิดเห็นที่ 43 (38818)

เรียนคุณ Zendo

เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-07-26 17:24:52


ความคิดเห็นที่ 44 (40773)
พี่พลวัฒน์อีเมล์อะไรคะอิอิพอดีมีโครงการดีๆwww.themaxfoundation.comการแจกยาเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือดขาวและกระเพาะอาหารน่ะค่ะสําหรับผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาตัวได้และไม่มีสิทธิ์เบิกใดๆเลยจะforwardเมล์ไปให้อ่ะค่ะเมล์นู๋sukulyaw@gmail.com หากผู้ป่วยหรือผู้มีญาติป่วยเป็นมะเร็ง2ชนิดนี้สอบถามข้อมูลได้ที่คุณธนศักดิ์อุทิศชลานนท์หรือคุณบุษกรสนธิกรนะคะ 02-439-4600ต่อ8202www.gipapthailand.orgนะคะเดี๋ยวนู๋ออกไปธุระก่อนนะคะขอกราบสวัสดีอาจารย์สมพรและอาจารย์ที่บ้านฮวงจุ้ยทุกๆท่านนะคะขอให้ท่านอาจารย์ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงและรํารวยๆตลอดไปค่ะ ด้วยความเคารพและระลึกถึงเสมอ
ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-07 14:35:55


ความคิดเห็นที่ 45 (40840)
phonlawatv@hotmail.com ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-10-10 22:35:45


ความคิดเห็นที่ 46 (40984)

กินทับทิม บำรุงหัวใจ ยับยั้งมะเร็ง

พูดถึง “ทับทิม” ผลกลม ๆ เมล็ดสีแดง ๆ เด็กสมัยนี้อาจะไม่ค่อยรู้จัก แต่คนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายรู้จักกันดี โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งนิยมนำผลทับทิมมาไหว้พระไหว้เจ้าเพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญงอกงามและความอุดมสมบูรณ์ (อาจเป็นเพราะทับทิมมีเมล็ดมาก มีความสวยงามและรับประทานได้) จึงมักให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน เพื่อให้มีลูกหลานมาก ๆ และยังเชื่อด้วยว่า ใบและกิ่งทับทิมช่วยขับไล่ภูติผีปีศาจ ดังนั้นจึงมักนิยมปลูกต้นทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน

         
แต่จริง ๆ แล้วทับทิมไม่ได้เกิดในเมืองจีนค่ะ สันนิษฐานกันว่าต้นกำเนิดของทับทิมนั้น อยู่ในแถบเอเชียตะวันตกหรือดินแดนที่เรียกกันว่าเปอร์เซีย (ปัจจุบันก็คืออิหร่าน) มีมานานหลายพันปีแล้ว เพราะปรากฏในบันทึกมากมายในสมัยนั้น เช่น เทวตำหนักกรีก การแพทย์แผนโบราณของอียิปต์ คัมภีร์ไบเบิล เป็นต้น โดยได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรค ในตำรับการแพทย์โบราณของเปอร์เซีย ระบุว่า ทับทิมมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยฟอกไตและท่อปัสสาวะ ช่วยการทำงานของหัวใจและตับ เป็นยาบำรุงกำลัง ฟอกโลหิต ช่วยในการย่อยอาหารขจัดไขมันส่วนเกิน ปรับฮอร์โมนในสตรีวัยทอง ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ป้องกันโรคขี้หลงขึ้ลืมและช่วยให้ผิวพรรณดี


ทั้งนี้ได้มีการศึกษาวิจัยในระยะหลัง ช่วยยืนยันถึงสรรพคุณทางยาของทับทิมไว้มากมาย ได้แก่

         
ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง มีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน โรคบิด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายสิบชนิด ลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้าน และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อลูกหมาก เป็นต้น

          การวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา พบว่าในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา รวมทั้งทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสม ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดี มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย ช่วยบำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้น และลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้สารจากทับทิมยังช่วยบำรุงตับ มีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับ และยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย

         
รวมถึงมีการทดลองทางเภสัชวิทยาพบว่า เปลือกหุ้มรากทับทิมมีฤทธิ์ในการขับพยาธิตัวตืด นอกจากนี้เปลือกหุ้มรากยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อได้หลายชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์ เชื้อวัณโรค เป็นต้น และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ผิวหนังด้วย


ส่วนตำรับการแพทย์แผนไทยได้บอกถึงสรรพคุณของทับทิมว่า

         
ใบ มีรสฝาด แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด สมานแผล ดอก มีรสฝาดหวาน ต้มดื่มแก้หูชั้นในอักเสบ บดโรยแผลที่มีเลือดออก เนื้อมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงหัวใจ เปลือกมีรสฝาด ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ถ่ายพยาธิ แก้ตกขาว สมานแผล ฆ่าเชื้อโรค เปลือกราก ต้มดื่มแก้ระดูขาว แก้ตกเลือด ถ่ายพยาธิ

         
นอกจากนี้ทางสมุนไพรของจีนถือว่าทับทิมมีฤทธิ์เย็น รสหวานอมเปรี้ยวจึงช่วยแก้กระหาย ป้องกันโลหิตจางระงับกลิ่นปาก ลดไข้ แก้ตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ และบำรุงตา

         
ถึงแม้จะรู้จักกันมาหลายพันปีแล้วว่า ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้ หลายชนิด แต่ก็ไม่ค่อยมีใครชอบกินทับทิม เหมือนผลไม้อื่น ๆ  แค่นำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าทับทิมมีเนื้อน้อยก็เป็นได้ บ้านเราจึงไม่ค่อยมีใครปลูกขาย มีแต่ปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้าน ทับทิมก็เลยกลายเป็นผลไม้หายาก ค่อนข้างมีราคาแพง แต่ปัจจุบันมีทับทิมจากประเทศจีนส่งเข้ามามาก และมีราคาถูกจึงถือเป็นโอกาสดีของผู้บริโภค

          
แต่ถ้ายังหาซื้อรับประทานลำบากก็น่าจะหาต้นมาปลูกเลยก็ได้ เพราะประโยชน์คุ้มทั้งต้นใบดอกราก

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-17 13:39:48


ความคิดเห็นที่ 47 (40989)

หาอ่านเรื่องทับทิมได้ที่เวปผมครับ

http://phonlawat.freeforums.org/topic-t110.html

ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-10-17 22:24:52


ความคิดเห็นที่ 48 (41195)
เรื่องของเห็ดกระดุมบลาซิล ผลการวิจัยของ คนไทย http://www.anonbiotec.com/Button_mushroom.html
ผู้แสดงความคิดเห็น โอภาส เมฆรุ่งเรืองกุล (opasmek-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-29 23:33:09


ความคิดเห็นที่ 49 (41465)

ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะไม่เกี่ยวกับมะเร็งแต่เป็นโครงการรักษาโรคตาฟรีค่ะ

รายละเอียดตามข้างล่างเลยค่ะ ใครได้อ่านและบันทึกข้อความแล้วพบเห็นผู้ป่วยโรคตาแนะนําพวกเขาให้ไปนะคะฟรี เพราะโรคตาเป็นอีกโรคนึงที่ค่าใช้จ่ายสูง ได้กุศล และทําดีถวายในหลวงค่ะ

รักษาตาฟรี! ถวายในหลวง บอกต่อๆ กันไป จะได้ช่วยคนที่เดือดร้อน

โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย 24 ติดต่อได้ที่ บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด (02-2629454-5, 02-2618213-7) เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น.

เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24(เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

 ** เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำต ัวป ระชาชนและบัตรทอง อย่างละ 2 ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า **

คนบางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิตหนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่ นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย

ธรรมะสวัสดี

 

ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-09 12:11:00


ความคิดเห็นที่ 50 (132085)
AMY สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้แสดงความคิดเห็น r];y<oN วันที่ตอบ 2009-11-10 21:47:40



[1] 2 ถัดไป >>


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล