บ้านฮวงจุ้ย : Fengshuihut
|
วิธีแลกลิงค์ :
คัดลอกโค้ดข้างล่างนี้ไปใส่ไว้ในเว็บของท่าน
ส่งเมล์บอกลิงค์ของท่านมาที่
admin@fengshuihut.com |
Web page counter
ประวัติอาจารย์ |
ประวัติอาจารย์หยังกง |
ประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ |
ประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย |
บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆ |
บทความ อ.เชียร บางบอน |
บทความ อ.ฮิม เมืองเลย |
รวมลิงค์ |
sanook.com |
payakorn.com |
meesook.com |
hunsa.com |
pantip.com |
|
รู้ทันมะเร็ง กับ คุณพลวัฒน์
สำหรับบทความ "รู้ทันมะเร็ง กับ คุณพลวัฒน์"
เป็นบทความที่เปิดให้มีการสอบถามเกี่ยวกับโรคมะเร็ง วิธีการรักษา
และการเรียนรู้ที่จะอยู่คู่กับมะเร็ง โดยคุณพลวัฒน์
ยินดีจะตอบและให้คำแนะนำจากประสบการณ์จริงของเขา
ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนใกล้ตัวที่ประสบกับมะเร็งเช่นกัน นั่นก็คือภรรยาของเขาเอง
ด้วยความเต็มใจ ทางบ้านฮวงจุ้ย ขอขอบคุณ คุณพลวัฒน์ เป็นอย่างยิ่งที่นำประสบการณ์ที่ดีมาถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจ |
[1] 2 ถัดไป >> |
ความคิดเห็นที่ 1 (3648) | |
เว็บบอร์ดนี้มีความประสงค์ เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิด และช่วยเหลือแก้ไข รวมทั้งการปฎิบัติตัว สำหรับ การรู้เท่าทันโรคมะเร็ง โดยผ่านจากประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นจริง ต้องการให้ทุกท่านที่มีปัญหา หรือ รู้สึกกังวล เกี่ยวกับ โรคมะเร็ง ได้มีการสอบถาม ทางบ้านฮวงจุ้ย ถือเป็นบทความ ที่ต้องการกระจายความรู้ ให้แก่ผู้อ่านทุกคน อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2008-10-31 10:34:38 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3649) | |
อยากเรียนสอบถาม คุณพลวัฒน์ เกี่ยวกับ หญ้าปักกิ่ง ว่ารักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ และควรรับทานในแบบใด เป็นไปได้อยากให้มีการเขียนข้อมูล ขอบคุณ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุกฤษฎิ์ วันที่ตอบ 2008-10-31 10:38:58 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3655) | |
เรียนคุณ สุกฤษฎิ์ ขอเวลารวบรวมข้อมูลแล้วจะรีบแจ้งให้ทราบ ไม่นานครับ แต่ในเบื้องต้นอยากบอกว่า หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา มีส่วนในการป้องกัน รักษา มะเร็ง ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-10-31 15:44:11 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3656) | |
อยากเรียนทุกท่านที่จะสอบถามว่า ผมไม่ใช่หมอแต่ผมศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเพื่อที่จะช่วยภรรยาที่เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก ดังนั้นแนวทางคำแนะนำที่ผมให้มันเป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์จริง ผมจึงคิดว่าความรู้ประสบการณ์ที่ผมได้รับมา พอที่จะช่วยคนที่เจอคำว่ามะเร็งได้ไม่มากก็น้อย จึงขออุทิศตนและเวลาที่จะมาบอกกล่าวที่นี่
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวะฒน์ วันที่ตอบ 2008-10-31 15:52:48 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3684) | |
ข้อมูลเรื่องหญ้าปักกิ่ง ผมนำข้อมูลจากหลายๆที่ๆผมรวบรวมไว้มาให้ศึกษา ผมก็ศึกษาจากข้อมูลพวกนี้ที่นำเอามาใช้รักษาภรรยา โดยผมเอามาคั้นสดให้ภรรยาทานเช้าตื่นนอนก่อนอาหาร และก่อนนอน วันละ2ครั้ง ทาน7 วันหยุด4วัน ปัจจุบันภรรยาผมทานน้ำหญ้าปักกิ่งมาได้ 1 ปี โดยส่วนตัวเชื่อว่า หญ้าปักกิ่งมีส่วนชีวยในการรักษาและป้องกัน มะเร็งได้ นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวอาจจะไม่ตรงกับท่านอื่นได้ Link สถาบันมะเร็งเรื่องหญ้าปักกิ่ง http://www.nci.go.th/Knowledge/download/nci01.pdf หญ้าปักกิ่ง หญ้าปักกิ่ง ลักษณะเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 10 ซม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบที่โคนต้นกว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 10 ซม. ใบส่วนบนสั้นกว่าใบที่โคนต้น ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น ใบประดับย่อยค่อนข้างกลมซ้อนกัน สีเขียวอ่อน บางใส กลีบดอกสีฟ้าหรือม่วงอ่อน ร่วงง่าย ผลแห้ง แตกได้ สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา หญ้าปักกิ่ง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏชื่อพืชสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอ และมะเร็ง ในประเทศไทย มีผู้นำหญ้าปักกิ่งมาใช้รักษาอาการของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในลำคอ ตับ มดลูก ลำไส้ ผิวหนัง และเม็ดเลือด เป็นต้น โดยนำหญ้าปักกิ่ง 6 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นหรือตำให้แหลก เติมน้ำ 4 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำแบ่งครึ่ง ดื่ม 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง และก่อนนอน หญ้าปักกิ่งไม่มีพิษเฉียบพลัน และพิษกิ่งเรื้อรังในหนูขาว ( สำหรับคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย ) อาการที่อาจเกิดจากพิษของหญ้าปักกิ่ง
ข้อพึงสังเกต
ต้มเอาน้ำดื่ม หมายถึง ต้มสมุนไพร ด้วยการใส่น้ำพอประมาณ (3 เท่า ของปริมาณที่ต้องการใช้ โดยใช้ไฟอ่อนๆ ต้มให้เหลือ 1 ส่วน จาก 3 ส่วน ข้างต้น) หญ้าเทวดา / หญ้าปักกิ่ง (เล่งจือเฉ้า) สรรพคุณ : ชาวจีนใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคเป็นเวลาหลายพันปี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Activate cells) บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์และล้างสารพิษตกค้างในร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งในส่วนต่างๆของร่างกาย เบาหวาน ความดันสูง-ต่ำ เม็ดโลหิต(ลูคีเมีย) มดลูก ไทรอยด์ ไต เส้นเลือดตีบ หัวใจ แก้ไอ ระงับปวดไมเกรน ภูมิแพ้ งูสวัด เริม แผลเบาหวาน ทำให้ระบบขับถ่ายดี เป็นยาอายุวัฒนะ ทานต่อเนื่องเป็นประจำได้ไม่มีผลข้างเคียง ขณะทานยาที่แพทย์สั่งทานหญ้านี้ก็ได้ ถ้าผ่านการฉายแสงหรือให้เคโมมา ทานหญ้านี้จะไม่แพ้แสงและถอนพิษได้ ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น ลักษณะ : ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 10-30 ซม. ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน หนาเรียวคล้ายใบใผ่ฉ่ำน้ำ ดอกเล็กๆ ออกเป็นช่อที่ปลายยอดสีขาวแกมม่วง เกิดในประเทศจีนตอนใต้ ชอบดินร่วนปนทราย แดดรำไร ขยายพันธ์โดยการแยกหน่อหรือเมล็ด สาระสำคัญ : ในใบและต้นหญ้าปักกิ่งมีสารประกอบจำพวกกลัยโคไซด์ เช่น ไดกาแลคโตซิลไดกลีเซอไรด์ (Digalactosyl Diglyceride) สารฟลาโนวอยด์ ชื่อ ไอโซไวเทกซิน (Isovitexin) กรดไซรินจิก (Syringic Acid) และ กลัยโคสฟิงโกไลปิด (Glycosphingolipids) แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ คลอโรฟิลล์และสารอาหารในหญ้าจะเข้าไปล้างกรดในเซลล์ ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง ม.มหิดลได้สนับสนุนงานวิจัยหญ้าปักกิ่งมาตั้งแต่ พ.ศ.2532 วิธีปรุง : นำหญ้าเทวดาอายุ 4 เดือนขึ้นไป ล้างให้สะอาดทั้งต้น ใบ ราก และดอก หักแยกจากกอล้างทีละต้น อย่าหักใบออกจากต้นเพราะจะทำให้เสียยางซึ่งเป็นตัวยาสำคัญไป ไม่ต้องใช้ด่างทับทิมหรือน้ำยาล้างผัก เพราะปลอดสารพิษ หลังล้างสะอาดนำมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปปรุงโดย นำหญ้า 1 กิโลกรัม ผสมกับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร ตำให้ละเอียด ปั่นด้วยเครื่องปั่น(Moulinex) หรือนำไปต้มวิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วนำมา คั้นเอาแต่น้ำเขียวเข้มและฟอง เก็บใส่ขวดแช่ในตู้เย็น หรือจะทานสดปรุงเป็นอาหารก็ได้ เช่น จิ้มน้ำพริก ทอดกับไข่แทนชะอม ทานกับลาบน้ำตก ผัดเหมือนผักบุ้ง มีรสอร่อย ไม่ขม ไม่เป็นพิษหรือภัยใดๆตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก วิธีรับประทาน : ก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง เช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว ประมาณ 150-250 ซีซี. น้ำหญ้าคั้นแล้ว 1 กิโล กรัมรับประทานได้ 2-5 วัน ควรทานต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป * ข้อมูลจาก ใบแจ้งสรรพคุณสินค้าของ กลุ่มเกษตรนนท์สมุนไพร(หญ้าปักกิ่ง)โทร.02-446-7255 หาซื้อได้ทั่วไป และที่ Golden Place , Foodland , ท้อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต , ฟิวเจอร์พาร์ค (ในช่องผักสด) , แถวถนนรามอินทรา 117 โทร 081-132-1717หรือ02-517-1207 หรือที่ จาตุกาหญ้าเทวดา โทร. 01-917-6949 , 02-591-3930
หญ้าปักกิ่ง หญ้าปักกิ่งคืออะไร ? หญ้าปักกิ่งหรือ เล่งจือเช่า เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูงราว 10 เซนติเมตร ใบเดี่ยวลักษณะคล้ายใบไผ่ ผิวของใบเรียบเป็นมัน สีเขียวอมเหลือง ยาวไม่เท่ากัน หนาฉ่ำน้ำ ดอกเล็กๆ สีบานเย็น กลีบสีขาวแกมม่วง ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ที่ปลายต้น มีแหล่งกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน ชอบดินทรายและที่มีร่มเงา ขยายพันธ์โดยการแยกหน่อ สรรพคุณของหญ้าปักกิ่ง ? อ้างตามหนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ ซึ่งจัดทำโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พิมพ์เมื่อ เดือนสิงหาคม 2535 หน้า 146 ได้อธิบายสรรพคุณของหญ้าปักกิ่งไว้ว่า "ในตำรายาจีนปรากฏชื่อพืชสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอและมะเร็ง ในประเทศไทยมีผู้นำหญ้าปักกิ่งมาใช้รักษาอาการของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในลำคอ ตับ มดลูก ลำไส้ ผิวหนัง และเม็ดเลือด เป็นต้น หญ้าปักกิ่งไม่แสดงพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาว เป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย" เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจากตำราจีนแล้ว ในตำรายังได้เขียนอธิบายไว้อีกว่า "หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นจัด สามารถใช้ขับพิษร้อนต่างๆ ในร่างกายได้ นอกจากนี้แล้วยังมีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะอีกด้วย" ดังนั้นถ้าหากผู้ป่วยโรคมะเร็งจะนำหญ้าปักกิ่งมาใช้ อาจนำมาใช้ได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง โดยใช้หญ้าปักกิ่งมาช่วยในการระบายพิษของสารเคมี หรือรังสีที่ตกค้างในร่างกายได้ โดยนำส่วนต้นใบ และ ราก มาคั้นน้ำดื่มวันละ2ครั้ง ตื่นเช้าก่อนอาหารและก่อนนอน ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วันและหยุด 4 วัน หลังจากหยุดรับการทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง ข้อควรระวังในการใช้หญ้าปักกิ่ง ? ไม่แนะนำให้ดื่มทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะหญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นจัด หากดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อไม่มีแรงได้ ดังนั้นผู้ที่ใช้หญ้าปักกิ่งควบคู่กันในการรักษา ควรมีการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นของหญ้าปักกิ่งส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อได้ หญ้าปักกิ่งจะออกฤทธิ์ดีที่สุดก็เมื่อใช้ต้นสดมาคั้นเอาน้ำดื่ม หากเป็นชนิดแห้งหรือแคปซูลอาจให้ผลได้ไม่ดีเท่า
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:44:36 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3685) | |
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งกับการรักษาโรคมะเร็ง ดร. ผ่องพรรณ ศิริพงษ์ หัวหน้างานวิจัยสมุนไพร กลุ่มงานวิจัย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับสองของประชากรไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆปี ยารักษาโรคมะเร็งที่ใช้ในทางการแพทย์ ก็มีแต่ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง ซึ่งจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งในรูปยาสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบ อีกทั้งยังพบว่ามีผลข้างเคียงสูง ทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงหันมานิยมใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อนำมารักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ สมุนไพรจากประเทศจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นำมาเผยแพร่ประมาณ 30 ปีมาแล้วและปัจจุบันก็ยังคงนิยมใช้อยู่อย่างแพร่หลาย คือหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง หรือเรียกชื่อภาษาจีนว่า เล่งจือเฉ้าหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao etKammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ดปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มากตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้งต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก) ประวัติความเป็นมาของการใช้หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งในประเทศไทย หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนแถบสิบสองปันนามีการนำเข้ามาและปลูกแพร่หลายในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2527 มีผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่งเพื่อรักษาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง พบว่าสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง บางรายใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผลข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือน ขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านและดื่มน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง หลังจากนั้น 1 ปี ผู้ป่วยดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจผลจากผู้ป่วยรายนี้จึงทำให้เกิดการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของพืชชนิดนี้เกิดขึ้น จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า - เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น - เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด 2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง - เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น - ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มีหนองและน้ำเหลือง ผลการวิจัยศึกษาหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ : น้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง มีสารกลัยโคสฟิงโคไลปิดส์ (จี 1 บี) มีชื่อทางเคมีว่า 1-β-O-D-glycopyranosyl-2- (2-hydroxy-6-ene-cosamide)-sphingosine (G1b) นอกจากนั้น ยังพบสารกลุ่มต่างๆได้แก่ คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน กลัยโคไซด์ ฟลาโวนอยด์ และอะกลัยโคน(1-2) ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา: - สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่(SW 120) โดยมีค่า ED50∠16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (1-3) - สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน (1-3) - สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความรุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ (1-3) - สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่นAFB1(4) - สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ ก่อให้เกิดมะเร็ง(5-6) ความเป็นพิษ - ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโตชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาวมากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่าค่อนข้างจะปลอดภัย(7) - ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน(8) ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม - ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง - ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้ รับประทานติดต่อกัน 5-7 วัน หยุดยา 4 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร)กรองผ่านผ้าขาวบาง ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด - หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากดินมาที่ต้นและใบของ หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ - หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง - หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าวที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วยโดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ 1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน 2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วันหยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง 3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส เอกสารอ้างอิง 1. วีณา จิรัจฉริยากูล สารต้านมะเร็งจากหญ้าปักกิ่ง จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2542; 16(3): 10-13. 2. วีณา จิรัจฉริยากูล รายงานผลความก้าวหน้าของโครงการวิจัยหญ้าปักกิ่ง หนังสือรวบรวมผลงานการวิจัยโครงการพัฒนาการใช้สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก ปี 2526-2536 คณะกรรมการโครงการพัฒนาการใช้ สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล หน้า 185-195. 3. Weena Jiratchariyakul, Primchanien Moomgkarndi, Hikane Okabe, Frahm A.W. Investigation ofanticancer components from Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy. Phama Indochina1997; 171-191. 4. Intiyot Y, Kinouchi T, Kataoka K, Arimochi H, Kuwahara T, Vinitketkumnuen U, Ohnishi Y.Antimutagenicity of Murdanis loriformis in the Salmonella mutation assay and its inhibitory effects onazoxymethane-induced DNA methylation and aberrant crypt focus formation in male F344 rats. J. Med. Invest. 49(1): 5-14. 5. Vinitketkumnuen U, Chewonarin T, Dhumtanom P, Lertpraseartsuk N, Wild CP. Aflatoxin-albumin adduct formation after single and multiple doses of aflatoxin B1 in rats treated with Thai medicinal plants. Mutat. Res. 1999; 48(1): 345-351. 6. วิริยา เจริญคุณธรรม, ปรัชญา คงทวีเลิศ, อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ การเหนี่ยวนำเอ็นไซม์ดีที-ไดอะฟอเรสโดยสารสกัดจากหญ้าปักกิ่ง ใบมะกรูด และตะไคร้ เชียงใหม่เวชสาร 2537; 33(2): 71-77. 7. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, วัลลา รามนัฐจินดา, พรรณี พิเดช การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของหญ้าปักกิ่งในหนูขาว สารศิริราช 2534; 48: 458-66. 8. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, เพียงจิต สัตตบุศย์, พรรณี พิเดช พิษกึ่งเรื้อรังของหญ้าปักกิ่งในหนูขาวสารศิริราช 2534; 48(8): 529-533.
.__ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:47:20 |
ความคิดเห็นที่ 7 (3686) | |
สูตรการทำน้ำหญ้าปักกิ่งที่ผมใช้ทำให้ภรรยา ที่สำคัญเมื่อทำน้ำหญ้าเสร็จแล้วควรทานทันที เพื่อให้ได้คุณค่าเต็ม100% เครื่อง juicer คือเครื่องคั้นแยกกาก วิธีปรุงสูตรหญ้าเทวดา 1.นำหญ้าเทวดาล้างให้สะอาดด้วยผงถ่านและน้ำสะอาด ทั้งต้น ใบ ราก และดอก จำนวน 6 7 ต้น 2.ปั่นด้วยเครื่อง juicer รองด้วยผ้าขาวบางสะอาด 3.แต่งความหวานด้วยน้ำแอบเปิ้ล 4ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำต้มสุก 4 ช้อนโต๊ะ ) รวมกับน้ำหญ้าให้ได้จำนวน 200 250 CC. 4.ดื่มครั้งละ 1 แก้ว 200 - 250 CC. ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงและ 1 ครั้งและ ก่อนนอน 1 ครั้ง 5.ดื่มน้ำหญ้า 7 วัน งด 4 วัน หมายเหตุ : ดื่มน้ำหญ้า ห้ามทานของแสลง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หัวไชเท้า ฟักแฟง แตงกวา ผักบุ้ง ผักกาดขาวรวมทั้งน้ำแกงที่ได้จากผักเหล่านี้ เพราะจะทำให้ฤทธิ์ในการรักษาอ่อนลง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-01 22:54:33 |
ความคิดเห็นที่ 8 (3790) | |
เรียนคุณพลวัฒน์ ขอขอบคุณที่อุตส่าห์ หาข้อมูลมาให้อ่าน และอยากสอบถามว่า เพลง หรือบทสวดมนต์ และสมาธิ มีส่วนในการช่วย ในการระงับยับยั้งอาการของโรค หรือไม่ครับ สุกฤษฎิ์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุกฤษฎิ์ วันที่ตอบ 2008-11-06 11:03:11 |
ความคิดเห็นที่ 9 (3831) | |
เรียนคุณสุกฤษฎิ์ คำถามของคุณสั้นแต่เวลาตอบๆยาวมาก หากเป็นการเรียนต้องใช้ไม่ต่ำกว่า2-3 ชม. แต่ผมคงสรุปสั้นๆ ตลอดเวลาที่ภรรยาผมอยู่ในช่วงรักษาสิ่งที่ผมและภรรยาปฎิบัติกันประจำคือ การสวดมนต์และทำสมาธิ และก่อนนอนก็จะเปิดเพลงบำบัดพวกแนวธรรมชาติเป็นประจำทุกวัน ยิ่งตอนที่เธอได้รับการบำบัดโดยการฉายแสงและให้เคโม เธอจะทำสมาธิและสวดมนต์ภายในใจเพื่อยับยั้งความกลัวและความเครียดที่เกิดจากเคมี่กำลังเข้าสู่ร่างกาย หรือรังสีอันตรายที่กำลังฉายบนร่างเธอ หากเธอไม่นิ่งสงบและเกิดความเครียด ร่างกายเธอก็จะไม่มีพลังไปต่อสู้กับโรคร้ายและร่างกายเธอจะทรุดเร็วมาก ไม่มีจิตใจที่จะต่อสู่กับโรคร้ายได้เลย ความเครียดจะเป็นเหตุให้ฮอร์โมนในร่างกายหลั่งผิดปกติ เช่น - ทำให้เกิดไขมันในเลือดสูง - เกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย - ทำให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยที่เป็นกรดมากขึ้น - และอีกสารพัดโรคที่เกิดจากความเครียด โดยเฉพาะมะเร็ง ความเครียดจึงเป็นบ่อเกิดของจิตใจที่วุ่นวาย สับสน และทำให้ร่างกายอ่อนแอเป็นหนทางให้โรคร้ายต่างเกิดขึ้นและโจมตีเราได้ง่ายมาก ยกตัวอย่างตอนที่เริ่มเคโมครั้งที่4 เธอกลัว เธอเครียด เม็ดเลือดขาวตกลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือ300กว่าๆเท่านั้น ตาหลังจากเธอเริ่มคุมจิตใจตัวเองได้ เริ่มสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปล่อยวาง ไม่คิดฟุ้งซ่าส์ เม็ดเลือดขาวเธอเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆๆจนเป็นปกติ การสวดมนต์และการทำสมาธิจึงเป็นการทำให้จิตใจสงบ ไม่เครียด เมื่อจิตสงบมีสมาธิ ร่างกายก็จะผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาเพื่อใช้เป็นภูมิคุ้มกันโรคและไปฆ่าเชื้อโรคแปลกปลอม และที่สำคัญช่วงที่ร่างกายสงบมีสมาธิ ร่างกายจะผลิตสารธรรมชาติที่เป็นยาวิเศษที่สุดคือ เอ็นดอร์ฟิน ซึ่งมีคุณสมบติดีกว่ามอร์ฟืน ที่หมอใช้แก้ปวดหลายเท่า ผมเคยไปนั่งคุยกับเจ้าอาวาสท่านเล่าว่ามีพระรูปหนึ่งเป็นโรคมะเร็งแต่ท่านรักษาโรคร้ายด้วยการนั่งสมาธิอย่างเดียว ทุกวันนี้ภรรยาผมจะนั่งสมาธิสวดมนต์เป็นประจำก่อนนอนทุกคืนบางคืนก็นั่งสมาธิเป็นชั่วโมง สรุปก็คือการสวมนต์นั่งสมาธิ ฟังเพลงบำบัดมีส่วนช่วยยับยั้งและบำบัดโรคได้แน่นอนครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-08 22:16:42 |
ความคิดเห็นที่ 10 (3897) | |
อ.สมพร ช่วยดูเมลด้วยครับ ผมพยายามโพสข้อความแต่โพสไม่ได้ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-13 00:57:43 |
ความคิดเห็นที่ 11 (3904) | |
อยากจะแนะนำคนที่เป็นมะเร็ง ทางด้านโรงพยาบาลและข้อมูล เพราะคนที่เป็น 1.จะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร 2.จะรักษาที่ไหน 3.จะหาข้อมูลได้จากที่ไหน 4.จะวางแผนการรักษาอย่างไร 5.จะรักษาแบบแผนปัจจุบัน หรือแพทย์ทางเลือก เช่นทางธรรมชาติบำบัด หากโรงพยาบาลของรัฐ ก็คือ สถาบันมะเร็ง ศิริราช จุฬา รามา หากเป็นเอกชน ก็ รพ กรุงเทพ ตามข้อมูลที่ได้โพสไว้ให้ หลักๆก็คือโรงพยาบาลทั้งหลายนี้ ส่วนแพทย์ทางเลือกผมเอาเวปของทางบัลวี มาให้ศึกษา และของคุณมนตรีที่รักษามะเร็งด้วยตนเอง และชมรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็ง มาให้เป็นแนวทางในการศึกษา พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับมะเร็ง มะเร็งหากเรายิ่งรู้มากรู้ลึก เราก็จะรู้จักมันมากขึ้น และจะรู้ว่ามันไม่น่ากลัว อย่างที่เราทั้งหลายกลัวกัน เราสามารถควบคุมมันได้ อยู่ที่จิตใจและความตั้งใจที่จะทำ คนที่พอรู้ตัวเป็นมะเร็งสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตั้งสติให้ได้ และให้ได้เร็วที่สุด เมื่อมันมาทักทายเราแล้ว เราก็จะต้องอย่าหนีมัน เข้าไปคุยไปรู้จักกับมันให้มากและเร็วที่สุด รู้เขารู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะ ยิ่งเรารู้จักมันมากเท่าไรเราก็ยิ่งชนะมันได้มากเท่านั้น เมื่อตั้งสติได้ สิ่งต่อไปก็คือ รีบหาข้อมูลเกี่ยวกับมันให้เร็วที่สุด เมื่อเรารู้จักมันดีแล้วเราจะได้เข้าไปสู้กับมันด้วยการ วางแผนการรักษา ที่ถูกต้องกับมะเร็งที่เราเป็น ขอให้เริ่มจาก 3 หลักนี้ให้ได้ก่อน เพื่อที่เราจะได้เริ่มย่างก้าวไปไม่ผิดพลาด และเวลาทุกนาทีที่ผ่านไปจะต้องเกิดประโยชน์ให้มากที่สุดอย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยที่เราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับคำว่ามะเร็ง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ (phonlawatv-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-11-13 16:46:14 |
ความคิดเห็นที่ 12 (3905) | |
ขอโทษครับไม่สามารถโพส link ได้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-13 17:04:11 |
ความคิดเห็นที่ 13 (3910) | |
ขณะนี้ทางเรากำลังดำเนินการแก้ไข้ให้อยู่ครับ อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2008-11-13 23:25:58 |
ความคิดเห็นที่ 15 (3928) | |
ขอบคุณครับ อ.สมพร | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2008-11-14 19:06:48 |
ความคิดเห็นที่ 16 (4884) | |
ตอนนี้เค้ากําลังจะใช้สารสะกัดจากพริกแทนแย้วค่ะ ที่อังกฤษได้เริ่มใช้แล้วในบางสถาบันและคนไข้ตอบสนองดีกว่าด้วยแต่ยังไม่รู้เมื่อไรบ้านเราจะได้ใช้อ่ะ แต่เราก็สมารถได้รับสารที่เป็นประโยชน์ชนิดนี้ได้นะคะด้วยการทานพริกสดระหว่างมื้ออาหารบ้างถึงต้องผ่านขบวนการดูดซึมเข้าในระบบร่างกายของเรานานหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทําอะไรเลย มีอะไรใหม่ๆไว้จะแวะมาupdate ให้ฟังนะคะ ขอแอบไปสืบๆถามที่สถาบันจุฬาภรณ์ก่อนว่าทางสถาบันทําการวิจัยเจ้าสารตัวนี้หรือยังแต่เอจำชื่อไม่ได้ แต่จะรีบไปสืบค้นมานะคะ อานิสงห์แรงดีค่ะแบ่งปันความรู้นี่อ่ะ ยกนิ้วให้เลยค่ะ ขอให้บุญรักษาทุกท่านนะคะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-01-18 01:12:10 |
ความคิดเห็นที่ 17 (5280) | |
เวปเกี่ยวกับการดูค่าต่างๆในเลือด คนเป็นมะเร็งทุกคนต้องศึกษารู้ไว้ เพราะจำได้ทราบว่าร่างกายเราแข็งแรงแค่ไหน มีเม็ดเลือดขาวพอเพียงต่อการให้เคโมหรือไม่ และอีกหลายๆส่วนในเลือด ควรศึกษาไว้ เวปนี้อธิบายไว้เกือบครบ http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Lab_interprete/cbc.htm
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-08 12:49:09 |
ความคิดเห็นที่ 18 (5565) | |
ขอขอบคุณ คุณ amy ที่ช่วยเพิ่มเติมเรื่องสารสกัดจากพริก หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2009-02-17 20:57:46 |
ความคิดเห็นที่ 19 (5616) | |
ควันธูปอันตราย! สารก่อมะเร็งอื้อ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-20 19:48:07 |
ความคิดเห็นที่ 20 (5617) | |
ข้อมูลนี้ไม่มั่นใจว่าได้มาจากไหนอาจจะเป็นที่ บัลวี แต่เป็นข้อควรรู้ไว้จึงเอามาให้ไว้ศึกษา ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง 11 ประการ สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ
การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-02-20 20:04:36 |
ความคิดเห็นที่ 21 (7214) | |
หากท่านใดชอบแบบตํารับยาโบราณจริงๆก็ตามนี้เลยอ่ะ 1.ไปที่ร้านขายยาจีน ซื้อบัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วันให้ต้มจนหมดชาม 2.หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมากๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับของเสียออกมาทางอุจจาระหรือปัสสาวะ ไม่ต้องตกใจเพราะเป็นการขับของเสียออก หมดแล้วจะหายเป็นปกติ ตำรานี้ห้ามซื้อขายหรือคิดค่ารักษาและขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวเด็ดขาด หากผู้อื่นๆได้รับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตแล้วท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความเจริญและสมหวังทุกประการ ท่านเจ้าคุณนิมิตร เจ้าคุณวัดกลาง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin (srwtsnt-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-07 17:41:18 |
ความคิดเห็นที่ 22 (35802) | |
ข้อมูลสำหรับคุณผู้หญิงวัยทอง เตือนรอบเดือนมากผิดปกติสัญญาณมะเร็งโพรงมดลูก นพ.พูนศักดิ์ สุชนวณิช สูติ-นรีแพทย์ สถาบันเพอร์เฟควูแมน โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ พบได้ถึง 1 ใน 5 ของผู้หญิงทั่วไป ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หากปล่อยทิ้งไว้ยังจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือกลายเป็นช็อกโกแลตซีสต์ และที่น่ากลัวที่สุดคืออาจกลายเป็นมะเร็งโพรงมดลูก ลักษณะของอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ เช่น มามากกว่า 7 วันใน 1 เดือน ก้อนเลือดขนาดใหญ่มากกว่าที่เคยเป็น หรือประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1 ชั่วโมง สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมามากผิดปกติ เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อาจเกิดจากเนื้องอกในมดลูก ความผิดปกติของฮอร์โมนทำให้สมดุลการหนาตัวของเยื่อบุและการลอกไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เนื้อเยื่อมีความผิดปกติเองโดยเป็นเนื้อที่เจริญเติบโตเร็วผิดปกติซึ่งสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ การได้ฮอร์โมนจากภายนอก เช่น การกินหรือฉีดยาคุมกำเนิด หญิงใกล้วัยทองซึ่งการทำงานของรังไข่เริ่มผิดปกติ เพราะฮอร์โมนต่อมใต้สมองเริ่มรวน จึงทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น วิธีรักษาภาวะผิดปกติดังกล่าว มีทั้งการให้ฮอร์โมนเพื่อคุมรอบเดือนให้มาสม่ำเสมอ การขูดเยื่อบุโพรงมดลูก การสลายเนื้อเยื่อด้วยการใช้เลเซอร์จี้ด้วยความเย็นหรือจี้ด้วยความ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:21:45 |
ความคิดเห็นที่ 23 (35803) | |
เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติสัญญาณเตือนภัยมะเร็ง ประจำเดือนมีเดือนละครั้ง แต่หากเดือนไหนมามากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังมีเลือดมากผิดปกติหรือแม้แต่แค่กระปริดกระปรอยก็นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายอย่างมะเร็ง ประจำเดือน หรือที่เรียกว่า เมนส์ เป็นภาวะตามธรรมชาติที่เกิดจากการหลุดลอกของผนังมดลูกที่ไม่ได้มีการปฎิสนธิชึ่งร่างกายก็จะขับออกมาทุกเดือนโดยทั่วไปเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จะเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกอายุประมาณ 12-23 ปี ปกติจะมาครั้งละไม่เกิน 7 วัน ประจำเดือนจะมาเป็นประจำทุกรอบประมาณ21-35 วัน ก่อนจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนประมาณอายุ 45-55 ปี เลือดออกมากผิดปกติ ตามปกติแล้วปริมาณของประจำเดีอนที่ถูกขับออกมาในแต่ละเดือนนั้นจะไม่เท่ากัน บางคนอาจจะมีประจำเดือนแค่ 3 วัน วันแรกมาเล็กน้อย วันที่สองมามาก และวันที่สามก็มีจาง ๆ แล้วหมดไป หรีอบางคนอาจจะบอกว่าประจำเดือนมาที 5-6 วัน กว่าที่จะจางและหมดไปก็ครบอาทิตย์นึงพอดี
แต่สำหรับบางรายที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดกระปรอย หรือมากกว่าปกติก็สร้างความกังวลใจให้กับคุณไม่น้อย พาลคิดไปต่างๆ นานาว่าจะเป็นโรคร้ายแรงอาการประจำเดือนมามากผิดปกติเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุอาจเกิดได้จากผลข้างเคียงของยาที่รับประทาน การใช้ยาคุมกำเนิด ความเครียด หรือเกิคจากภาวะติดเชื้อ อาการเลือดออกผิดปกติที่เกิดจากมะเร็ง รอบนี้เริ่มมาวันที่ 1 มกราคม 2552 มาทั้งหมด 4 วัน รอบถัดไปเริ่มมาวันที่ 30 มกราคม 2552 มาทั้งหมด 4 วัน แต่ในวันที่ 15 มกราคม 2552 มีเลือดอออมาอีก
สาเหตุของอาการเลือดออกผิดปกติ ได้แก่ ประจำเดือนออกมากผิดปกติ ส่วนใหญ่แล้วมักพบว่าเป็นอาการนำของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ ซื่งถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักรีบรักษา อาการอาจลุกลามรุนแรงได้ทั้งนี้ หากคุณเองเป็นอีกคนหนึ่งที่มีปัญหาเลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของความผิดปกติ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:23:46 |
ความคิดเห็นที่ 24 (35804) | |
เจ็บแปลบหน้าอก-เยื่อหุ้มปอดอักเสบ การดูแลตนเอง เมื่อมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เป็นบางครั้งบางคราว โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรปฏิบัติตัวดังนี้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-03-27 09:31:05 |
ความคิดเห็นที่ 25 (35922) | |
วิตามินที่ควรกินประจำในการเสริมสร้างร่างกายต่อสู้กับมะเร็ง 1.วิตามิน ซี ขนาด1000 mg. กินเช้า3เม็ด กลางวัน 3 ม็ด เย็น2เม็ด ก่อนนอน2เม็ด หากไม่เคยกิน ช่วงแรกกินวิตามินซีอาจจะมีอาการท้องเสียได้ เริ่มแรกอาจจะกินแบบทีละนิดคือ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-04-02 10:37:21 |
ความคิดเห็นที่ 26 (35923) | |
เพิ่มเติมข้อมูล วิตามินซีและเบต้ากินหลังอาหารครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-04-02 13:08:21 |
ความคิดเห็นที่ 27 (36851) | |||||||||||||||
วิธีสังเกตมะเร็งชนิดต่าง ๆ
| |||||||||||||||
ผู้แสดงความคิดเห็น Amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-10 23:01:44 |
ความคิดเห็นที่ 28 (36916) | |
สูตรน้ำผักผลไม้ต้านมะเร็ง 1. มื้อเช้ามืด น้ำส้มคั้น 1 แก้ว (เครื่องคั้นด้วยมือปลอกเปลือกก่อนคั้น) 2. หลังอาหารเช้า น้ำแครอต 1 แก้ว 3. มื้อ 10 โมงเช้า น้ำถั่วงอก 1 แก้ว 4. หลังอาหารเที่ยง น้ำมะละกอ 1 แก้ว 5. มื้อบ่าย 3 โมงเย็น น้ำตำลึง 1 แก้ว 6. มื้อบ่าย 5 โมงเย็น น้ำแครอต 1 แก้ว 7. หลังอาหารเย็น น้ำถั่วงอก 1 แก้ว 8. มื้อก่อนนอน น้ำมะละกอ 1 แก้ว
การใช้เครื่อง juicer คั้นผักสดและผลไม้สดจะต้องคั้น ผ่านผ้าขาวบางทุกสูตร และให้เอากากมาคั้นต่อด้วย ผ้าขาวบางทุกครั้งเพราะเอนไซม์และเกลือแร่ที่ต้องการ ยังค้างอยู่กับกากอีกมาก
สูตร 1 ใช้แครอต 2 หัว บีตรูต 1 หัว คั้นผ่านเครื่อง โดยแต่งความหวานด้วยแอปเปิ้ลครึ่งลูก สูตร2 ใช้มะละกอสุกห่ามๆคั้นผ่านเครื่อง สูตร3 น้ำส้มคั้น ให้ปลอกเปลือก คั้นด้วยเครื่องแบบมือโยกหรือกด สูตร4 น้ำตำลึง ใช้ตำลึง 1-2 กำมือ คั้นผ่านเครื่อง และใช้น้ำฝรั่งคั้นผ่านเครื่อง สัก 1/3 แก้ว เพื่อเป็นน้ำสำหรับผสมกับน้ำตำลึง สูตร5 น้ำถั่วงอก ใช้ถั่วงอก ½ กก.คั้นผ่านเครื่อง และใช้แคนตาลูปสกัดด้วยเครื่อง สัก 1/3 แก้วเพื่อเป็นน้ำสำหรับผสมกับน้ำถั่วงอก บีบมะนาวเพื่อแต่งรส สูตร6 น้ำก้านผักรวม ใช้ก้านคะน้า กะหล่ำปลี ปวยเล้ง กวางตุ้ง ผักกาดขาว สกัดผ่านเครื่อง แล้วแต่งความหวานด้วยแอปเปิ้ลหรือแคนตาลูบ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:23:13 |
ความคิดเห็นที่ 29 (36917) | |
น้ำผักและผลไม้จะต้องคั้นและให้กินทันทีไม่ควรคั้นทิ้งไว้แช่ตู้เย็น (ข้อมูลจากบัลวี) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:25:00 |
ความคิดเห็นที่ 30 (36918) | |
สูตร ซุปโพแทสเซียม กระหล่ำปรี 1 หัว หอมใหญ่ 4 หัว แครอท 2 หัว มะเขือเทศ 2 ลูก เปลือกมันฝรั่งติดเนื้อหนา 2ลูก ใส่ผักใบเขียวทุกชนิดเท่าที่มี ผสมเข้าไปด้วยเช่น กะหล่ำปรี ปวยเล้ง คะน้า และผักพื้นบ้านต่างๆ ใส่น้ำปริ่มๆแล้วต้มด้วยไฟอ่อนๆจนได้น้ำซุปข้นๆ ใส่ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา * ใช้น้ำซุปแทนน้ำมันต่างๆในการทำอาหารพวกผัดผักต่างๆ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:27:11 |
ความคิดเห็นที่ 31 (36919) | |
อาหารที่สร้างเม็ดเลือดขาว ลิมฟ์โฟซัย 1.ข้าวกล้อง หรือ เส้นหมี่ข้าวกล้อง วีเจิร์ม รำข้าว ข้าวโพด ทุกมื้อ 2.สาหร่ายทะเล มันฝรั่ง ทุกมื้อ 3.น้ำซุปโปรแทสเซียม ทุกมื้อ 4.ผักใบเขียวจัดๆ และผักต่างๆ เช่น ถั่วงอก ตำลึง ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ 5.พวกผลไม้ต่างๆเช่นส้ม แคนตาลูป กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล ในแต่ละวันต้องกินให้ได้ครบเพื่อสร้างเม็ดเลือดขาว ลิมฟ์โฟซัย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-13 01:29:38 |
ความคิดเห็นที่ 32 (37041) | |
เรียนพี่พลวัฒน์ และ เอมี่ ทั้งสองท่านสุขภาพแข็งแรงดีนะครับ ผมอยากสอบถามทางพี่พลวัฒนน์ น้ำซุปโปรแทสเซียม เป็นอย่างไร ทำจากอะไร อยากให้ช่วยขยายความครับ อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-05-18 11:30:58 |
ความคิดเห็นที่ 33 (37086) | |
amy รายงานตัวสุขภาพโดยรวมยังไม่มีอะไร บ่งชี้ไปในทางลบเป็นพิเศษนะคะคงพอจะพูดได้ว่าสบายดีพอสังเขป อิอิ ยังระลึกถึงอาจารย์สมพร และอาจารย์ทุกๆท่านที่บ้านฮวงจุ้ยเสมอนะคะเพียงแต่ช่วงนี้ยุ่งกับกิจวัตรประจําวันและคิดค้นหาวิธี ข้ามวันคืนที่เศรฐกิจชลอตัวมากๆอย่างปัจจุบันค่ะยังคงไปวัดทําบุญและสงเคราะห์สัตว์ตกยากและ ผู้คนทั้งป่วยและไม่ป่วยที่แวะเวียนมาปรึกษาตามที่อาจารย์ทุกๆท่าน ยําให้ทํากุศลมากๆอยู่เสมอนะคะ เดี๋ยวอีกสักพักให้เหตุการต่างแถวๆนี้คลี่คลายชัดเจนกว่านี้อีกนิดนะคะ จะรีบไปกราบเยี่ยมอาจารย์ทันทีเลยค่ะ อืมม์โอยว่ามาซะยาว อจารย์สมพร สบายดีนะคะขอให้อาจารย์สมพรและอาจารย์ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงตลอด และมีทุกสิ่งที่ดีๆตลอดนะคะ และพี่พลวัฒน์กับข้อมูลต่างๆที่นําขึ้นโพสให้ทั้งผู้ป่วยและญาติรวมทั้งทุกท่านที่ใฝ่ข้อมูลขอบอกเจ๋งมากสุดยอดเลยค่ะ มีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากๆต้องขอโทษนะคะที่ไม่ค่อยได้เข้ามาช่วยเท่าไรแต่ติดตามอยู่เงียบๆเสมอนะคะและว่างแล้วไปเจอข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์จะมานําเสนอนะคะ ระลึกถึงทุกๆท่านเสมอ และขอแสดงความนับถืออาจารย์ทุกๆท่านและพี่พลวัฒน์มาในโฮกาสนี้นะคะ Amy | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-20 01:36:32 |
ความคิดเห็นที่ 34 (37122) | |
เรียน อาจารย์ สมพร น้ำซุปโปตัสเซี่ยม ก็ทำจากวิธีการที่ผมบอกข้างต้น มันเป็นสูตรอาหารต้านมะเร็ง รวมทั้งน้ำผักและน้ำผลไม้ที่ผมโพสไว้ วิธีการทำก็ตามที่ผมโพสไว้ เมื่อได้น้ำซุปมา หากใช้ไม่หมดก็เอามาใส่ถุงพลาสติกแช่แข็งในช่องFreeze แบ่งเป็นถุงที่จะใช้แต่ละครั้ง เก็บด้วยวิธีนี้ก็จะใช้ได้นานหลายวันต่อการทำน้ำซุปหนึ่งครั้ง
ในร่างกายคนเรา จะมีเกลือแร่จะมีอยู่ 2 ตัว คือโซเดียมและโปตัสเซี่ยม
ตัวที่เป็นโซเดียมต้องคอยระวังเพราะมะเร็งมันชอบครับ
ส่วนตัวที่เป็นโปรตัสเซี่ยมจะมีประโยชน์มากกว่า
น้ำซุปโปตัสเซี่ยม จะอุดมไปด้วยโปตัสเซี่ยม ซึ่งเป็นเกลือแร่ตัวสำคัญที่จะเพิ่มภูมิต้านทานที่จะใช้สู้กับมะเร็ง จะใช้น้ำซุปนี้แทนน้ำมันในการผัดอาหารก็ได้ยิ่งดีมากเพราะคนเป็นมะเร็งต้องหลีกการใช้น้ำมัน จะใช้แทนน้ำแกงน้ำซุปทานกับอาหาร หรือจะใช้ปรุงอาหารแทนน้ำได้หมด มีคุณค่ามากกว่า น้ำซุปโปตัสเซี่ยมเป็นสูตรอาหารต้านมะเร็ง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี แต่ซุปนี้ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคไต เพราะ คนเป็นโรคไตจะขับโปรตัสเซี่ยมออกจากร่างกายไม่เก่งอยู่แล้ว หากกินเข้าไปอีก มันจะทำให้มีโปตัสเซี่ยมมากไปแล้วจะเป็นอันตราย
ปล.ว่างๆคุณเอมี่ก็เข้ามาช่วยกันครับในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์รักษาสุขภาพด้วยอย่าประมาท | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ (phonlawatv-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-21 19:53:50 |
ความคิดเห็นที่ 35 (37123) | |
ยุทธศาสตร์ 4 อ.(จากเวปคุณมนตรีที่เป็นมะเร็งและรักษาด้วยธรรมชาติบำบัดจนหายเป็นปกติจนทุกวันนี้)
บางครั้งเราก็ลืมๆไปเหมือนกันว่า ร่างกาย สังขารของเราซึ่งเกิดจากท้องแม่มานั้นมันเป็นไปตามกฏธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วดับสูญไปตามกฏของพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ภาษาพระท่านเรียกว่า "รูปธรรม-นามธรรม"
เพราะร่างกายของเราก็ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่นี่แหละ สัตว์ทั้งหลายมันก็ดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช้ผลิตผลของธรรมชาติ ตั้งแต่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค มาตลอดชีวิต
อยู่ในโลกของเคมีวัตถุทั้งอาหาร บรรยากาศติดยึดอย่างเหนียวแน่นกับโลกวัตถุซึ่งเต็มไปด้วยสารพิษ หลงงมงายยึดเป็นค่านิยมจนวาระสุดท้าย
ของมนุษย์ที่เห็นผิดเป็นชอบทั้งหลาย กลับตัวกลับใจเร็วๆ..ยังไม่สายเกินไปเด้อ ! พืชผลทางเกษตรเขายังพยายามเลิกใช้สารเคมีหันมาใช้สารชีวภาพซึ่งทำจากธรรมชาติล้วนๆ เพื่อสร้างภูมิต้านโรค
เริ่มจาก อ.ที่หนึ่ง "อารมณ์"
สาร Adrenaline จะทำให้หัวใจเต้นแรง เส้นโลหิตหดเกร็ง ถ้าหดจนตีบตัน หัวใจก็อาจจะวายเฉียบพลัน สาร Steroid ถ้ามีจำนวนที่ผิดปกติอาจจะทำให้การหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารผิดเพี้ยนได้ ถ้ามากไปน้ำย่อยก็จะไปกัดผนังด้านในกระเพาะอาหาร ถ้าน้อยเกินไปก็จะทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย สาร Lactic Acid ถ้าเกิดขึ้นมากไปก็อาจไปทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน
อ.ที่สอง "อาหาร"
สำหรับเนื้อสัตว์ก็ต้องไม่ใช้กระบวนการเคมีในการเลี้ยงดูจนถึงขั้นการแปรรูปเช่นเดียวกัน ไม่มีการขุนสัตว์ด้วยยาหรือที่มีส่วนผสมทางเคมี ไม่มีการใส่สารเพิ่มสี หรือใช้โซเดียมไนไตร์เพื่อยืดอายุเนื้อสัตว์ที่แปรรูปอันเป็นสาเหตุให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ โดยสรุปแล้ว อาหารสำหรับผู้ฟื้นฟูสุขภาพควรเป็นอาหารที่เป็นธรรมชาติ เช่น พืชผักผลไม้ นำมาต้ม นึ่ง หรือทานสดๆก็ยิ่งดี หรือจะนำมาคั้นหรือปั่นก็จะเพิ่มความหลากหลายชวนให้บริโภคมากขึ้น อาหารควรอย่างยิ่งที่จะปลอดสารพิษ ปรุงแต่งง่ายๆไม่สลับซับซ้อน เช่นต้มแล้วเอาไปย่าง ต้มแล้วเอาไปอบ ให้มันเกิดภาวะเชิงซ้อนทางเคมี แทนที่จะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น เอาไปต้ม หรือเอาไปนึ่ง ซึ่งจะไม่ทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์เกิดการแปลกแยกออกไป
นอกจากนั้นอาหารไม่ควรจะมีรสจัด เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม สารพัดรส และประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่ก็ควรจะลดลงบ้างเพื่อหนีห่างจากภาวะไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ควรมาเน้นหนักที่พืชผักผลไม้(ที่ปลอดสารพิษ) รวมทั้งธัญพืชต่างๆที่มีผลิตภัณฑ์มากมาย ทั้งถั่วงาทั้งหลาย สาหร่าย นมถั่วเหลือง โปรตีนเกษตร
รวมทั้งข้าวที่ไม่ขัดข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ อาหารธรรมชาติเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้ระบบขับถ่ายไม่มีปัญหาแล้วยังช่วยลดการสะสมสารพิษและไขมันที่ไปอุดตันในหลอดเลือดทั่วร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทั้งหลาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ระบบหัวใจล้มเหลว จนกระทั่งมะเร็ง
ก็อยากจะชวนให้ละลดเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เป็ดไก่ หันมาทานประเภทปลาบ้าง โดยเฉพาะปลาทะเลเนื้อขาวซึ่งมีไขมันเลวต่ำ แต่มีไขมันดี(Omega-3)ที่เป็นประโยชน์
ประเภทต่อไปนี้ก็ควรลดเหมือนกัน คืออาหารที่อุดมด้วยไขมันและน้ำตาลทราย(ฟอกขาวด้วยสารเคมี) เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม เค้ก ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขัดขาว เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ฯลฯ (เดี๋ยวนี้มีเส้นก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น ขนมจีน และขนมปังที่ไม่ได้ทำจากแป้งขัดขาวแล้ว)
อีกประเภทหนึ่งที่ควรจะลดหรือเลิกไปเลยก็คือประเภทที่มีไขมันเชิงเดี่ยวหรือไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ กะทิ น้ำมันพืชบางชนิด อาหารที่ใช้สำหรับธรรมชาติบำบัดนี้มีแหล่งข้อมูลให่ศึกษามากมาย โดยเฉพาะกลุ่มชีวจิต และชมรมมังสวิรัติทั้งหลาย
อ.ที่สาม "อากาศ"
อ.ที่สี่ "ออกกำลังกาย"
จะได้ผลมากกว่า ไปเล่นกอล์ฟ หรือโยนโบว์ลิ่ง รวมทั้งการออกกำลังกายในที่อากาศไม่สามารถถ่ายเทได้ดี หรือในห้องที่เราไม่สามารถสูดอากาศที่บริสุทธิ์เข้าปอดขนะที่กำลังใช้พลัง
เหตุที่ควรจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดนั้นก็เพราะกระบวนการเคมีในร่างกาย เช่น การเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน( Metabolism ) จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ไม่ปนเปื้อนสารพิษ
การออกกำลังกายที่ดีควรทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อให้เหงื่อขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายออกมาบ้าง และช่วยให้ปอดใช้ออกซิเจนใหม่ๆสดๆที่สูดจากกลางแจ้งนำไปฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงส่งต่อให้หัวใจได้ทำหน้าที่สูบฉีดไปหล่อเลี้ยงทั่วร่ากายอย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกายที่ถึงระดับที่เรียกว่า Peak จะทำให้ร่างกายหลั่งสาร Growth Hormone ออกมาจากต่อมใต้สมองทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า เหมือนได้น้ำทิพย์มาโชลมร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเป็นการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ เป็นยาอายุวัฒนะอีกขนานหนึ่ง สรุปตรงนี้ได้เลยว่า การบำบัดรักษาโรคมะเร็งโดยการใช้"ยุทธศาสตร์ 4อ."นี้ มีแต่ได้ ไม่มีเสีย มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน อย่างมากก็เสมอตัว ถ้าท่านทำได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีผลข้างเคียง เพราะกระบวนการทั้งหมดเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ไม่ใช่"ธรรมชาติเทียม" หรืออะไรที่เป็นสารเคมีทั้งหลายในรูปยา หรืออาหารที่ถูกดัดแปลงรสชาติ สีสัน รวมทั้งการยืดอายุการบริโภค
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-21 20:13:09 |
ความคิดเห็นที่ 36 (37140) | |
เรียน อาจารย์สมพร
ข้อมูลเรื่อง มะรุม ที่ผมหามาได้ ลองอ่านดูครับ มีเรื่องจริงจากผู้ใช้ด้วย มะรุม พืชมหัศจรรย์ http://thaiherbclinic.com/node/141?page=1 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-05-22 13:46:36 |
ความคิดเห็นที่ 37 (37315) | |
เรียนพี่พลวัฒน์ ขอบคุณที่หาข้อมูล เรื่องมะรุมมาให้อ่าน ดีมากครับ สมพร บ้านฮวงจุ้ย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-05-30 21:43:07 |
ความคิดเห็นที่ 38 (37582) | |
เรียนอาจารย์สมพร ตอนนี้ผมลองทำเวปเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งเพิ่มอีก1ช่องทางครับ http://phonlawat.freeforums.org/ พลวัฒน์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-07-09 21:19:27 |
ความคิดเห็นที่ 39 (37944) | |
เรียนพี่พลวัฒน์ ยินดีด้วยครับ จะได้มีแหล่งข้อมูลที่ให้ทุกคนที่เดือดร้อน ได้เป็นที่พึงสอบถามข้อมูล และหากต้องการความช่วยเหลือประการได้ ไม่ต้องเกรงใจนะยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ เว็บพี่ทำสวยดีครับ อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย วันที่ตอบ 2009-06-23 11:46:09 |
ความคิดเห็นที่ 40 (38061) | |
เรียน อาจารย์สมพร ไม่ได้เข้ามาตอบเพราะป่วยไปหลายวันเพราะทุ่มเททำเวป เวปผมเวปฟรีพยายามทำโดยที่ไม่มีความรู้ อาศัยการเรียนรู้ และสอบถามคนที่รู้ที่ช่วยเหลือเลยออกมาแบบที่เห็น ปัญหาตอนนี้เท่าที่เปิดมาเกือบ2เดือนคือคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจ ข้อมูลสุขภาพพวกนี้เพราะคิดว่ายังไกลตัว เลยประมาท แต่หากมีข้อมูลจะรู้ว่ามันอยู่ในตัวพร้อมที่จะออกมาเล่นงานได้ตลอด ผมต้องการให้ข้อมูลความรู้แก่คนทั่วไป เพื่อป้องกันที่ต้นเหตุ หากคนรู้และเข้าใจมะเร็งโรคร้ายก็จะห่างไกล ทุกวันนี้หมอส่วนใหญ่รักษาที่ปลายเหตุและรักษาแบบตามตำรา ไม่มองทางเลือกมาผสมผสาน กรณีล่าสุด ฟาร่าห์ ฟอร์เซ็ท ดาราดังต้องตายด้วยโรคมะเร็งลำไส้ทั้งที่รักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย หากเธอและคนใกล้ชิดมีความรูข้อมูลหลายๆทาง เธอคงไม่ตาย เหมือนยอดรัก สลักใจก็เช่นเดียวกัน มะเร็งต้องสู้ด้วยร่างกายของเราหากร่างกายเราถูกทำลายด้วยสารเคมีทางวิทยาศาตร์ ที่หวังจะเข้าไปฆ่ามะเร็งแต่ก็ฆ่าตัวเองด้วยและมะเร็งมักไม่ตายคนจะตายก่อน เพราะร่างกายอ่อนแอลงมะเร็งก็เติบโต จะต้องให้ร่างกายแข็งแรงด้วยแพทย์องก์รวม ผสมผสานกันไม่ใช่ฆ่าล้างเฟ่าพันธ์อย่างเดียวของหมอแผนปัจจุบัน ตายกับตายเท่านั้น ร่างกายกลับสู่ธรรมชาตินั้นแหละคือหนทางที่ถูกที่สุดในการกำจัดโรคภัยทุกอย่าง ขอบคุณครับสำหรับความช่วยเหลือ พลวัฒน์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒฯ วันที่ตอบ 2009-06-28 01:58:31 |
ความคิดเห็นที่ 41 (38062) | |
ผมต้องการความช่วยเหลือในการช่วยจุดเทียนแห่งความรู้ ให้แสงสว่างกับคนให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมพยายามทำ หาคนมาช่วยจุดเทียนความรู้ให้ผมได้ก็ดีครับขอบคุณมากๆ ผมส่งข่าวออกไปมากมายแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ พลวัฒน์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-06-28 02:03:11 |
ความคิดเห็นที่ 42 (38740) | |
อยากถามเรื่องเห็ดกระดุมบราซิลช่วยเรื่องมะเร็งหรือไม่คับ เหนในเวปที่ญี่ปุ่นขายอยู่กล่องละเกือบสามหมื่นเยนอ่ะคับ www.cremona.co.jp | |
ผู้แสดงความคิดเห็น zendo วันที่ตอบ 2009-07-24 21:16:06 |
ความคิดเห็นที่ 43 (38818) | |
เรียนคุณ Zendo เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-07-26 17:24:52 |
ความคิดเห็นที่ 44 (40773) | |
พี่พลวัฒน์อีเมล์อะไรคะอิอิพอดีมีโครงการดีๆwww.themaxfoundation.comการแจกยาเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือดขาวและกระเพาะอาหารน่ะค่ะสําหรับผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาตัวได้และไม่มีสิทธิ์เบิกใดๆเลยจะforwardเมล์ไปให้อ่ะค่ะเมล์นู๋sukulyaw@gmail.com หากผู้ป่วยหรือผู้มีญาติป่วยเป็นมะเร็ง2ชนิดนี้สอบถามข้อมูลได้ที่คุณธนศักดิ์อุทิศชลานนท์หรือคุณบุษกรสนธิกรนะคะ 02-439-4600ต่อ8202www.gipapthailand.orgนะคะเดี๋ยวนู๋ออกไปธุระก่อนนะคะขอกราบสวัสดีอาจารย์สมพรและอาจารย์ที่บ้านฮวงจุ้ยทุกๆท่านนะคะขอให้ท่านอาจารย์ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงและรํารวยๆตลอดไปค่ะ ด้วยความเคารพและระลึกถึงเสมอ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-07 14:35:55 |
ความคิดเห็นที่ 45 (40840) | |
phonlawatv@hotmail.com ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-10-10 22:35:45 |
ความคิดเห็นที่ 46 (40984) | |
กินทับทิม บำรุงหัวใจ ยับยั้งมะเร็ง พูดถึง ทับทิม ผลกลม ๆ เมล็ดสีแดง ๆ เด็กสมัยนี้อาจะไม่ค่อยรู้จัก แต่คนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายรู้จักกันดี โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งนิยมนำผลทับทิมมาไหว้พระไหว้เจ้าเพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญงอกงามและความอุดมสมบูรณ์ (อาจเป็นเพราะทับทิมมีเมล็ดมาก มีความสวยงามและรับประทานได้) จึงมักให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน เพื่อให้มีลูกหลานมาก ๆ และยังเชื่อด้วยว่า ใบและกิ่งทับทิมช่วยขับไล่ภูติผีปีศาจ ดังนั้นจึงมักนิยมปลูกต้นทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-17 13:39:48 |
ความคิดเห็นที่ 47 (40989) | |
หาอ่านเรื่องทับทิมได้ที่เวปผมครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พลวัฒน์ วันที่ตอบ 2009-10-17 22:24:52 |
ความคิดเห็นที่ 48 (41195) | |
เรื่องของเห็ดกระดุมบลาซิล ผลการวิจัยของ คนไทย http://www.anonbiotec.com/Button_mushroom.html | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โอภาส เมฆรุ่งเรืองกุล (opasmek-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-29 23:33:09 |
ความคิดเห็นที่ 49 (41465) | |
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะไม่เกี่ยวกับมะเร็งแต่เป็นโครงการรักษาโรคตาฟรีค่ะ รายละเอียดตามข้างล่างเลยค่ะ ใครได้อ่านและบันทึกข้อความแล้วพบเห็นผู้ป่วยโรคตาแนะนําพวกเขาให้ไปนะคะฟรี เพราะโรคตาเป็นอีกโรคนึงที่ค่าใช้จ่ายสูง ได้กุศล และทําดีถวายในหลวงค่ะ รักษาตาฟรี! ถวายในหลวง บอกต่อๆ กันไป จะได้ช่วยคนที่เดือดร้อน โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย 24 ติดต่อได้ที่ บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด (02-2629454-5, 02-2618213-7) เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น. เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24(เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 คนบางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิตหนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่ นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย ธรรมะสวัสดี
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น amy (sukulyaw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-09 12:11:00 |
ความคิดเห็นที่ 50 (132085) | |
AMY สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น r];y<oN วันที่ตอบ 2009-11-10 21:47:40 |
[1] 2 ถัดไป >> |