ฉีเหมินตุ้นเจี่ย ตอนขึ้นศาล
เหตุการก่อนมาปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากอาจารย์
ปี 2546
- ผมดาวน์บ้าน จ่ายเงินไป 5 งวด รวมทั้งหมดเป็นเงิน 503,000 บาท
ปี 2547
- ทางหมู่บ้านนัดให้ไปตรวจรับบ้านหลายครั้ง หลังตรวจทุกครั้ง
ผมได้แจ้งเป็นหนังสือให้บริษัทฯแก้ไขข้อบกพร่องที่ตรวจพบให้เรียบร้อยก่อนจะนัดโอนครั้งต่อไป
- จนถึงครั้งที่ 4 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
ได้โทรมาแจ้งว่าถ้าบ้านไม่เรียบร้อยให้ผมสามารถจ้างช่างมาซ่อมเองได้
แต่ต้องเสนอราคาเพื่ออนุมัติก่อนซ่อม
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ได้โทรมาแจ้งว่ารับหนังสือพร้อมใบเสนอราคาซ่อมแซมแล้ว
ราคาสูงไป ขอให้ปรับลดราคา
- ผมส่งใบเสนอราคาที่ปรับลดราคาลง 70,000 บาท
- บริษัทฯแจ้งให้ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ (ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร
เกี่ยวกับการซ่อมแซมเลย)
- ผมทำหนังสือโต้แย้งฯ เนื่องจากยังไม่มีข้อตกลงหรือการซ่อมแซม
- บริษัทฯมีหนังสือบอกเลิกสัญญาฯพร้อมริบเงินมัดจำและเงินดาวน์ทั้งหมดที่ผมจ่ายไป
- เดือนต่อมาบริษัทฯขายบ้านหลังดังกล่าวให้กับลูกค้ารายอื่น
ได้ราคาเพิ่มจากราคาเดิมอีกประมาณ 7 แสนบาท
- ผมร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
แต่สคบ.ทำอะไรไม่ได้และแนะนำให้ผมดำเนินการฟ้องร้องเอาเอง
- ผมตั้งทนายเพื่อฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง
พร้อมทั้งให้ผมจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1 แสนบาท
ปี 2548
- ปรึกษาทนายคนเดิมยื่นฟ้องต่อศาลอุทธรณ์ เสียค่าธรรมเนียม, เงินมัดจำ
และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 3 แสนบาท
ปี 2554
- ศาลอุทธรณ์ส่งหมายให้ไปรับฟังคำพิพากษา ในวันที่ 26-Jan-11 เวลา 9
โมงเช้า
ก่อนถึงวันนัดหมาย
- ผมได้เคยมาปรึกษากับอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องวันนัดหมายนี้แล้วประมาณ 1
เดือนก่อนหน้านี้ อาจารย์ดูดวงจีนให้แล้ว
โดยอาจารย์ทำนายว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จะเป็นบวก ต่างกับศาลชั้นต้นที่มีแต่ลบ
แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ
- ผมกลุ้มใจและกังวลกับเรื่องนี้มาก เพราะตอนฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้น
ถึงผมจะมีหลักฐานเป็นเอกสารมากมาย ทั้งหนังสือสัญญา, หลักฐานการชำระเงิน,
รูปภาพที่แสดงว่าการก่อสร้างทำไม่เรียบร้อย,
จดหมายที่แจ้งให้บริษัททราบเกี่ยวกับรายละเอียดความไม่เรียบร้อยที่ตรวจเจอขณะตรวจรับบ้าน
และอื่นๆอีกมากมาย ผมยังแพ้คดีเลย นอกจากไม่ได้เงินที่จ่ายไปจริงคืนมาแล้ว
ยังต้องจ่ายค่าทนายแทนคู่กรณีอีก 1 แสน ค่าฤชาธรรมเนียมของศาลชั้นต้นประมาณ 1 แสน
บวกค่ามัดจำและค่าฤชาธรรมเนียมของศาลอุทธรณ์อีกเกือบ 2 แสน
และในการฟ้องร้องต่อศาลอุทธรณ์ ผมไม่ได้มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเลย
- ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีนี้โดยไม่มีการเรียกไปให้การหรือสอบถามอะไรเพิ่มเติม
หรือขอเอกสารใดๆเพิ่มเติม มีแค่การเขียนคำอุทธรณ์ของทนาย ที่เขียนแย้ง
(แบบสุภาพที่สุด) ต่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พร้อมทั้งคำอธิบายเพิ่มเติมเท่านั้น
- โดยส่วนตัวถ้าถามว่ามั่นใจและมีความหวังกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์แค่ไหน
ก็คงไม่เกิน 5% มั้งครับ แต่ที่ต้องกัดฟันสู้ต่อในศาลอุทธรณ์เพราะ
ถ้าไม่สู้ก็จะเสียเงินไปทั้งหมด (โดยไม่ได้ลุ้นอะไรอีก)
- สุดท้ายก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา 1 วัน ผมได้มาขอร้องให้อาจารย์ช่วยเหลือ
ช่วยสร้างความมั่นใจ
ช่วยเลือกเส้นทางการเดินทางที่ดีมีพลังเข้าสู่ศาล
โดยใช้โปรแกรม "ฉีเหมิน ตุ้นเจี่ย" คำนวณให้ด้วย
เพราะในขณะที่ผมกำลังกังวลกับคำพิพากษา ผมกลัวว่า ถ้าผมไปเองคนเดียว
สำรวจเองคนเดียวทั้งหมด เดี๋ยวทำผิด-ทำถูก
จะทำให้ผลลัพท์มันยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิมอีก
ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างที่สุดครับที่ให้ความกรุณาช่วยเหลือลูกศิษย์ที่กำลังเดือดร้อนครับ
รายละเอียดการสำรวจหน้างาน
เราออกไปสำรวจพื้นที่จริงที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แถวถนนเจริญกรุง ใกล้ๆกับวัดสุทธิฯ
เราไปถึงที่หมายกันประมาณ 1 ทุ่ม จอดรถอยู่ในซอยติดประตูเข้าด้านข้าง
โดยอาจารย์ใช้เข็มทิศทั้งจาก iPhone 3GS และหล่อแก (เข็มทิศจีน)
มาวัดทิศของประตูด้านข้างและประตูหน้าด้านที่ติดกับถนนเจริญกรุง
จากนั้นเราก็ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามแล้วมองย้อนกลับไปที่อาคารศาลฯและประตูเข้าด้านหน้าพร้อมเช็คองศาจากทั้ง
iPhone 3GS และหล่อแก (เข็มทิศจีน) อีกครั้ง เดินเข้าไปในซอยเจริญกรุง 60
(ที่มีร้านริมน้ำหมูกระทะ) เพื่อกำหนดจุดที่จะจอดรถสำหรับวันพรุ่งนี้
และสุดท้ายก็คือจัดเตรียม-กำหนดเส้นทางการเดินทางจากบ้านผมมาที่ศาล
เรามานั่งเช็คทิศทางในภาพรวมโดยใช้ Google Earth
ในขณะที่กินข้าวมันไก่ที่ร้านซุ่ยเฮง ด้านหน้าศาล ใกล้วัดสุทธิ โดยกำหนดว่า
- ผมควรออกจากบ้านไม่เกินเจ็ดโมงเช้า (เพื่อให้อยู่ในช่วงเวลาที่เป็นคุณแก่ผม)
- เส้นทางการเดินทาง ออกจากบ้านให้มุ่งหน้าไปทางไหน (เพื่อให้ได้พลัง)
- ลงทางด่วนที่ถนนจันทร์ ขับตรงมาจนถึงสามแยกที่ตัดกับถนนเจริญกรุง
และจอดรถที่ซอยเจริญกรุง 60 (ร้านริมน้ำหมูกระทะ) โดยกำหนดจุดให้จอดรถอยู่ 2 ที่
(เพื่อรวบรวมพลัง, แต่ในเช้าของวันที่ไปศาลฯ ทั้ง 2 จุดที่กำหนดไว้ก่อน
ผมไม่สามารถนำรถเข้าจอดในจุดดังกล่าวได้ แต่โชคดีที่อาจารย์ได้อธิบายให้ฟังจนเข้าใจ
จึงนำรถไปจอดที่จุดที่ 3 แทน)
- กำหนดเวลาที่จะเดินออกจากรถ และตั้งสมาธิตรงบริเวณฟุตบาท ก่อนเดินข้ามถนน
และเดินไปตามเส้นทางสู่ประตูทางเข้าด้านหน้า
สรุปคำพิพากษา
- เอาย่อๆเฉพาะส่วนที่ต่างจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคือ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้บริษัทฯคืนเงินให้ผมจำนวน 3 แสนบาทและ
ค่าทนายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จ่ายแทนจำเลยจำนวน 1 แสนบาท ให้ลดลงเหลือแค่ 5
หมื่นบาท
- รวมเงินที่ผมจะได้คืนเท่ากับ 3 แสนบาท บวกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และ 5
หมื่นบาทจากส่วนต่างค่าทนายฯ โดยกำหนดให้บริษัทฯชำระคืนภายใน 30
วันนับตั้งแต่มีคำพิพากษา
ความพึงพอใจ
ถ้าประเมินเป็นเปอร์เซ็นต์จากคำพิพากษา ก็น่าจะได้ประมาณนี้ครับ
- ถ้าผมชนะคดี ได้เงินส่วนที่ผมจ่ายไปจริงคืน เช่น เงินดาวน์ทั้งหมด,
ค่าธรรมเนียมศาล, ค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้อง+ค่าทนาย คืนทั้งหมด เท่ากับ 100%
ถ้าได้เพิ่มเติมกว่านี้ก็ต้องบวกเข้าไปเป็นประสบความสำเร็จเกินร้อยเปอร์เซ็นต์
- แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง และผมต้องจ่ายค่าค่าฤชาธรรมเนียมฯ
1 แสนบาทให้กับคู่กรณีแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ได้เงินคืน 3 แสน 5
หมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ย ผมคิดคร่าวๆว่าประสบความสำเร็จถึง 65%-70% ครับ
ทั้งๆที่ทนายของผมไม่ได้มีหลักฐานอะไรมาเพิ่มเติมและคณะทนายความของบริษัทฯก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่า
เนื่องจากยังมีอีกหลายคดีที่บริษัทฯถูกฟ้องเรื่องคล้ายๆกัน
หมายเหตุ
- หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมคงต้องทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับโปรแกรม ฉีเหมิน
ตุ้นเจี่ย ให้มากกว่านี้
ถ้าผมทำได้ครบถ้วนเช่นที่อาจารย์ได้กรุณาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
เงินที่ผมเสียไปแล้วกับบริษัทบ้านจัดสรรนี้ ผมสามารถไปเอาคืนจากการทำธุรกิจแล้วใช้
ฉีเหมิน ตุ้นเจี่ย ช่วยก็ได้
- ช่วงก่อนที่มีการฟ้องร้องฯผมทำงานกับบริษัทฯที่มีพนักงานต่างชาติหลายประเทศทำงานร่วมกันเฉพาะพนักงานต่างชาติก็มีกว่า
100 คนแล้ว เงินเดือนหลังสุดผมรับอยู่ 7
หมื่นบาทเศษและมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทอื่นอีกเดือนละ 1 หมื่นบาท
- หลังคำตัดสินของศาลชั้นต้นไม่นาน ผมก็ถูกเลื่อยขาเก้าอี้ และถูกให้ออกจากงาน
รวมเวลาที่ทำงานที่บริษัทนี้ขาดไม่กี่วันก็ครบ 7 ปี
- หลังจากนั้น ไม่ว่าผมจะพยายามหางานมากแค่ไหน
ทั้งสมัครเองโดยตรงทั้งใน-ต่างประเทศ และติดต่อผ่านบริษัทจัดหางาน
ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะบริษัทใหม่ที่ผมไปสมัคร
ล้วนโทรกลับมาสอบถามกับคนที่เลื่อยขาเก้าอี้ผม ทำให้ผมตกงานอยู่เกือบ 2 ปี
- ผมรู้จักกับอ.สมพรมาประมาณ 3 ปีเศษ
ในช่วงนั้นผมมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาแค่เดือนละ 1 หมื่นบาทเท่านั้น
แค่ผ่อนบ้านอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว ในขณะที่กำลังกลุ้มใจกับการหางานประจำทำ
อาจารย์ได้กรุณาแนะนำให้เข้าไปดูเว็บขายแผ่น DVD
อยู่เจ้านึงพร้อมกับให้ผมลองซื้อมาดู หลังจากผมสั่งซื้อมาแล้ว
และกลับมาคุยกับอาจารย์อีก 2-3 ครั้ง ปัจจุบันผมมีงานประจำ ที่ทำแทนงานบริษัทเดิม
จากการให้คำแนะนำและให้กำลังใจจากอาจารย์ ทำให้ผมมีรายได้พอที่จะให้ภรรยาผมเดือนละ
2 หมื่นบาทเพื่อผ่อนบ้านและเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน
เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอีกยาวครับ
ถ้าใครอยากรู้ต้องมาคุยกันกับผมวันไหว้ครูของอาจารย์ วันตรุษจีนที่จะถึงนี้ครับ
- นอกจากข้าวมันและไก่ตอนของร้านซุ่ยเฮงที่รสชาติดีแล้ว (น้ำจิ้มยังไม่โดนครับ)
แต่ไก่ต้มมะนาวดองของร้านนี้รสชาติกลมกล่อมถูกปากมาก
ซดคล่องคอตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย ซดคล่องจนลืมกินเนื้อไก่ที่มีมาในชาม
ถ้าใครแวะไปแถวนั้นแล้วไม่ซื้อข้าวมันไก่เจ้านี้มาฝาก ผมก็ยังไม่เคืองครับ
เพราะยังหาข้าวมันไก่ดีๆแถวบ้านมาทดแทนกันได้
แต่ถ้าไม่ซื้อไก่ต้มมะนาวดองจากร้านซุ่ยเฮงมาฝากกันละก้อ
ถ้ารู้ก็เคืองกันล่ะครับ