บ้านฮวงจุ้ย : Fengshuihut
|
วิธีแลกลิงค์ :
คัดลอกโค้ดข้างล่างนี้ไปใส่ไว้ในเว็บของท่าน
ส่งเมล์บอกลิงค์ของท่านมาที่
admin@fengshuihut.com |
Web page counter
ประวัติอาจารย์ |
ประวัติอาจารย์หยังกง |
ประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ |
ประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย |
บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆ |
บทความ อ.เชียร บางบอน |
บทความ อ.ฮิม เมืองเลย |
รวมลิงค์ |
sanook.com |
payakorn.com |
meesook.com |
hunsa.com |
pantip.com |
|
วางแผนชีวิตพิชิตความสำเร็จภาคชัยภูมิ วางแผนชีวิตพิชิตความสำเร็จภาคชัยภูมิ โดย เชียร บางบอน ในโลกยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการแข่งขัน เนื่องจากเป็นโลกที่เราเรียกกันว่ายุควัตถุนิยม ใครที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูง ก็จะเป็นผู้ที่สามารถครอบครองและใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ คำว่าประชาธิปไตยก็เป็นคำพูดที่ปลอบประโลมใจสำหรับคนที่อำนาจทางเศรษฐกิจน้อยว่าว่าเป็นผู้มีสิทธิมีเสียงเท่ากับคนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงเท่ากับเขาเมื่อกัน เขียนมาถึงตรงนี้ก็ต้องรีบเบรคแล้วเพราะไม่ได้เขียนคอลัมภ์การเมือง เมื่อโลกอยู่ในยุคแข่งขัน ทุกคนก็ต้องลงสนามแข่งอย่างเท่าเทียมกันหมด การที่เราจะลงสนามแข่งขันได้นั้นย่อมต้องเหมือนกับนักกีฬาที่ต้องมีการฟิตซ้อมมาอย่างดี มิฉะนั้นย่อมปราชัยในทุกสนามแข่งขันแน่นอนถ้าเป็นพวกอ่อนซ้อม การที่เราจะลงแข่งในสนามได้นั้น มีเรื่องที่ต้องวางแผนก่อนแต่ถ้าเป็นเรื่องกีฬายังไม่ค่อยต้องกังวลมาก แพ้ในเกมส์กีฬาอย่างมากก็หัวเราะกับความพ่ายแพ้แล้วก็เลิกกันไป แต่การแพ้ไปในเกมส์ชีวิตนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างคุณๆท่านๆเข้าใจกัน ผู้ที่แพ้ในเกมส์ชีวิตย่อมมีผลกระทบไปถึงความมั่นคงในชีวิต ภรรยา ลูก หลาน พี่ น้อง ย่อมมีส่วนที่ต้องรับผลกระทบไปด้วย และยังกินวงกว้างไปอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว การที่เราจะลงแข่งในสนามชีวิต เราต้องเลือกจุดเด่นในชีวิตของเราและเป็นสิ่งที่เรามีสมรรถภาพสูงที่สุดที่จะแสดงออกมาจึงมีความสำเร็จ มีผู้กล่าวว่าถ้าคุณเป็นพ่อค้าที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคนต้องการมาก แต่ไม่มีใครสามารถแข่งกับคุณได้คุณจะรวยที่สุด แต่ถ้าคุณผลิตสินค้าที่มีคนต้องการมาก แต่คนสามารถเลียนแบบคุณได้ง่ายคุณก็จะเหนื่อยอย่างที่สุด และบางครั้งก็จะถูกสินค้าเลียนแบบกลืนไปในที่สุด เหมือนซีดีเถื่อนที่กลืนกินซีดีลิขสิทธิ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน มนุษย์เราตามปกติจะไม่สามารถค้นหาศักยภาพในตัวของเราออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดได้ง่ายๆ ในชีวิตของผมที่เป็นนักโหราศาสตร์พบตัวอย่างแบบนี้เสมอ เช่น กรณีย์ ด.ร สมศักดิ์ แกจบสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากต่างประเทศ คนในครอบครัวดีอกดีใจกันมาก เพราะลูกหลานได้เป็นดอกเตอร์ แต่ ด.ร.สมศักด์เมื่อมาประกอบอาชีพทางสาขาวิศวกรรมฟ้าก็มีปัญหาล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอ จนจากความดีใจของพ่อแม่พี่น้องต้องกลายมาเป็นกังวลและหนักใจ มีความรู้สึกไม่สบายใจกับวิถีชีวิตของด.ร.สมศักดิ์ นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ในที่สุด ด.ร.สมศักดิ์ ก็หันมาจับงานทางด้านธุรกิจเปิดสอนกวดวิชาและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และได้เข้าไปเป็นอาจารย์สอนในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ต่อมาก็มีการขยายสาขาโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง มาถึงตรงนี้พี่น้องก็พลอยสบายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ แกหันมาจับงานทางด้านวิชาการประสบความสำเร็จ เพราะชีวิตของดอกเตอร์สมศักดิ์นั้นเป็นนักวิชาการ จะมีความสุขกับการสอนนักศึกษา แต่จะมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องร่วมงานกับพวกช่าง และสายวิชาชีพในสนาม อีกตัวอย่างหนึ่งคุณฐิติพรเรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชนที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของประเทศไทยในสาขาคอมพิวเตอร์ในระดับปริญญาโท ก็เป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่พี่น้องเช่นกัน คุณฐิติพรทำงานอยู่หลายๆบริษัทเข้าๆออกๆอยู่หลายแห่ง ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่มั่นคงอยู่เสมอ แม้จะเป็นคนที่มีความสามารถในเรื่องการทำงาน แต่แกก็ทนอยู่กับสังคมบริษัทไม่ได้ ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ก็จะมีปัญหากับหัวหน้างานจนต้องออกจากงาน หนักเข้าคุณฐิติพรเลยหันมาจับธุรกิจขายอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งเป็นธุรกิจเล็กๆของครอบครัว พอแกเริ่มจับธุรกิจก็สนุกกับการหาตลาด ต่อมาแกมาขยายกิจการ มีการติดต่อกับบริษัทใหญ่ทำหน้าที่เป็นคนกลางจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ แกเริ่มวางแผนตลาดเองหาตลาดเอง จนปัจจุบันแกมีบริษัทที่จัดส่งอาหารแช่แข็งทั้งในและต่างประเทศ และปัจจุบันก็ขยายกิจขการทางด้านห้องเย็น และกำลังวางแผนทำมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอาหาร โดยกำลังติดต่อคนต่างประเทศให้มาเป็นหุ้นส่วนเพื่ออาศัยเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาผลิตอหารสำเร็จรูป เพื่อขายในตลาดโลกและในประเทศ ต่อไป ถ้าเราลองสังเกตุดูใน 2 กรณีนี้ทั้งคุณสมศักดิ์ และคุณฐิติพร ล้วนแต่หลงทางในตอนต้นทั้งสิ้น คิดว่าตนเองเรียนหนังสือได้ดีก็เรียนในสาขายากๆเป็นที่น่าภาคภูมิใจของเหล่าบรรดาญาติๆ แต่เมื่อจบการศึกษาออกมาประกอบอาชีพก็ล้มเหลว เพราะเนื่องจากสิ่งที่ตนเองศึกษาจบมานั้นแม้จะเป็นความสามารถของตน แต่ก็ไม่ใช้จุดเด่นในด้านศักยภาพของตนเอง ทั้ง 2 คนจึงเท่ากับว่าไม่รู้จักความเป็นตัวตนของตัวเอง เด็กๆที่เรียนถึงมัธยมปลายจะมีอาจารย์แนะแนวมาช่วยออกความคิดว่าควรเรียนในสาขาไหนๆ แต่อาจารย์แนะแนวก็ได้แต่แนะนำในด้านที่ปรากฎทางข้อมูลในเรื่องผลการเรียน เด็กที่เรียนดีย่อมสามารถเรียนได้หลายๆสาขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีจิตใจและมีความรักในสิ่งที่เรียนมา คนบางคนกว่าจะรู้ตัวว่าชอบด้านไหนเก่งด้านไหน ชีวิตก็ล่วงเลยมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว จะถอยหลังก็ยาก ที่พอถอยออกไปได้แต่ก็เหลือเวลาน้อยที่จะสร้างความสำเร็จตามที่ตั้งใจ ถ้าเรื่องเหล่านี้เกิดกับชีวิตของท่านผู้ใดนับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าขนาดไหน ทุ่มเททั้งชีวิตในการเรียนมากว่าสิบปี ทำงานมาอีกเกือบสิบปี แต่มารู้ว่าสาขาที่เรียนมากับงานที่ทำมันไม่ใช่ตัวตนของเรามันจะหน้าเศร้าแค่ไหน ในทางโหราศาสตร์นั้น สมัยที่ผมเริ่มเรียนถึงเรื่องการพิจารณาอาชีพนั้น อาจารย์มักจะเน้นย้ำเสมอว่า งานที่คนเราจะทำนั้นมี 3 แบบ คือ 1. งานที่เป็นอาชีพตามที่ชะตากำหนด 2. งานที่เป็นสิ่งที่เรารักและชอบโดยจิตวิญญาณ 3. งานที่แล้วเกิดโชคลาภ .งานแบบที่หนึ่งนั้น คนเราจะทำไปตามสัญชาตญาณ อาจจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมใน ครอบครัวชักนำ สังคมชักนำ งานแบบนี้บางครั้งก็มีความสำเร็จ แต่บางครั้งก็ไม่มีความสำเร็จ งานแบบที่ 2 นั้นเป็นงานที่ทำขึ้นเพราะเป็นใจรัก แต่ก็อาจจะไม่มีรายได้เหมือนคนชอบทำอาหาร ทำได้ดีรสชาดอร่อย คนชมกันมากแต่ก็ไม่มีรายได้นอกจากคำชมเชย ส่วนในแบบที่ 3 นั้น เป็นงานที่ทำให้ชีวิตมีความสำเร็จ มีรายได้ หลักฐานมั่นคงและดำรงค์ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่ที่ว่ามั่นคงต้องมีข้อแม้นะครับว่าเป็นความมั่นที่เป็นไปตามกรอบของวาสนาที่มีมา ตรงนี้ท่านที่อ่านอาจจะงง ก็มีคำอธิบายไว้ว่า ตามธรรมชาติของคนเรานั้นเรามักไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพของดวงชะตาได้เต็มที่ เช่นมีโอกาสรวย 1 ล้านบาท คนทั่วไปก็จะรวยเพียง 5 แสนบาท เหตุเพราะว่าคนเราจะไม่มีการใช้ชีวิตแบบทุ่มเทเต็มที่และสาเหตุสำคัญก็คือไม่สามารถค้นพบตัวตนของตนเองได้ จึงไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพได้เต็มที่ เหมือนคนซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้ แต่ใช้เป็นเพียงแค่พิมพ์เอกสารกับเล่นเกมส์ ทั้งที่คอมพิวเตอร์มีความสามารถมากกว่านั้นหลายเท่านัก คนจะใช้คอมพิวเตอร์ได้เต็มที่ย่อมต้องศึกษาโปรแกรมและตัวเครื่องของรุ่นที่จะใช้ให้เกิดความชำนาญ ชีวิตคนก็ย่อมต้องศึกษาสัญชาตญาณของตนเองให้ออกและค้นให้พบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของเราออกมา จึงมีความสำเร็จได้สูงเท่ากับคนที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้เต็มตามประสิทธิภาพของเครื่องรุ่นนั้นๆ หลักวิชาโหราศาสตร์นั้นมีหลักวิชาที่ว่าด้วยการบริหารชีวิตให้เกิดความสำเร็จอยู่หลายหลักวิชา แต่พอสรุปได้เป็น 2 หลักวิชาคือ 1. หลักวิชาที่ว่าด้วยการใช้ชีวิตที่เหมาะสมทางกายภาพ เช่น - การเลือกสาขาอาชีพที่เหมาะสม - การเลือกคบหาเพื่อนและการมช้ชีวิตในสังคม - การเลือกคู่ครอง - การวางแผนการลงทุน - ฯ ล ฯ 2. หลักวิชาว่าด้วยการส่งเสริมสนับสนุนทางด้านนามธรรมและความเชื่อ ได้แก่ - การเลือกชื่อที่ทำให้เกิดโชคลาภ - การเลือกและจัดสถานที่ให้เกิดโชคลาภ - การเลือกใช้สีให้เกิดโชคลาภ - การเลือกเครื่องประดับให้เกิดมงคลและมีโชคลาภ - เลือกฤกษ์ยามให้เมาะกับเวลาและงานที่จะทำ โหราศาสตร์มีหลักวิชาที่สามารถปรับปรุงพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถดึงความสามารถของคนให้เกิดประสิทธิภาพได้สูงสุด ซึ่งก็ย่อมทำให้บุคคลนั้นมีความสำเร็จ และมีความสุขเหมาะกับชีวิตของตนเอง วิชาโหราศาสตร์ถ้าศึกษาอย่างมีเหตุผลและเอาวิทยาศาสตร์มาจับก็น่าจะได้ประโยชน์ดีๆจากวิชานี้ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ทางสถิติ จงเชื่อโหราศาสตร์ด้วยปัญญาและมีเหตุผล อย่าเชื่อเพราะความงมงาย เนื่องจากเวปบอร์ดนี้ว่าด้วยเรื่องฮวงจุ้ย ผมก็จะลองหยิบยกเรื่องที่มาจากประสบการในชีวิตของผมช่วงหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง ในปี 2530 ผมได้ย้ายสถานที่ทำงานของผมจากกลางเมืองไปสู่ชานเมือง สถานที่ย้ายนั้นเป็นสถานศึกษาใหญ่ มีที่ดินกว่า เมื่อวางดวงการเปิดสถานศึกษานี้ในวันที่ 18 พ.ค. 2530 เวลา 8.00 น. ซึ่งก็จะมีรูปดวงดังนี้
โดยมีทิศหลักในดวงดังนี้ ทิศตะวันออก ตรงกับ ราศีพฤษภ ทิศเหนือ ตรงกับ ราศีสิงห์ ทิศตะวันตก ตรงกับ ราศีพิจิก ทิศใต้ ตรงกับ ราศีกุมภ์ ส่วนทิศเฉียงต่างๆก็เฉลี่ยกันไปตามทิศหลักครับ ประตูทางเข้านั้นอยู่ราศีพฤษภ ซึ่งมีดาว ๑ กาลีและเป็นเจ้าเรือนสหัชชะ และ ดาว ๔ เดชเจ้าเรือนตนุและพันธุ เมื่อวิเคราะห์แบบนี้ก็แสดงว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีอยู่ ดังนี้ 1. จะมีข่าวเสื่อมเสียเกิดขึ้นเป็นข่าวอยู่เสมอ(ดาว ๔ = ข่าวสาร) 2. คนในสถานที่แห่งนี้มักจะอยู่ไม่ทนและมีเรื่องแตกแยก จะมีเรื่องร้ายๆเกิดกับบุคลากรแห่งนี้ (ภพตนุ , พันธุ + วินาศ) 3. ผู้ใหญ่ ผู้บริหารจะมีแต่เรื่องเดือดร้อน หรือเป็นผู้ทำให้เดือดร้อนเสมอ (ดาว ๑ = ผุ้ใหญ่) ทำเลทางใต้ไปจนถึงตะวันตก จะเป็นที่สถิตย์ของภพ ศุภะ มรณะ ปัตนิ และอริ ซึ่งทิศที่มี อิทธิพลคือ ตั้งแต่ทิศตะวันตกและพาดเฉียงไปเกือบถึงทางทิศใต้ ซึ่งมีภพ อริ ปัตนิ และมรณะทรงคุณภาพสูง ที่น่าสนใจก็คือ ทางตะวันตกเป็นประตูเล็กที่เปิดออกสู่ภายนอกสถานที่แห่งนี้ โดยมีดาว ๗ ครองทิศ ซึ่งเป็นเจ้าเรือนมรณะ และสถานที่ในทิศนี้นี้เป็นที่ทิ้งเก็บกองขยะและเคยเป็นที่พักของคนงาน ซี่งตรงกับอิทธิพลของดาว ๗ ทำให้มีผลทางด้านอริ และมรณะรุนแรงมากในที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันก็มีแนวบ่อน้ำล้อมรอบ ซึ่งเป็นทำเลดาว ๒ ซึ่งมีอิทธิพลทางด้านใต้ เมื่อมองจากตำแหน่งนี้ก็พอวิเคราะห์ได้ว่า 1. ผู้ที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันตก จะได้รับโทษในเรื่องการเจ็บป่วย ความตาย และที่น่าแปลกคือบริเวณนี้คนงานที่อาศัยอยู่ ได้เสียชีวิตถึง 2 ครอบครัว ทั้งสามีภรรยา และในเวลาติดต่อกันรวดเร็ว จนในที่สุดก็ต้องรื้อถอนที่พักคนงานออกไป และทา 2. ด้านใต้ค่อนไปทางตะวันตกเป็นจุดที่มีนักศึกษาจมน้ำเสียชีวิตติดต่อกันถึง 2 คน ซึ่งแต่ละคนก็เป็นนักกีและว่ายน้ำได้ดีทั้งสิ้น จนปัจจุบันมีการห้ามขาดมิให้นักศึกษาลงไปเล่นน้ำในบ่อ 3. บ่อน้ำที่อยู่ด้านนี้ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางด้านการเงินของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งก็ปรากฎตามมาว่ามีความขาดแคลนในเรื่องการเงินและงบประมาณรุนแรงขึ้นเรื่อย 4. อาคารที่ตั้งอยู่ทิศนี้ใต้และตะวันตก ผู้ที่ทำงานจะเกิดความขัดแย้ง แตกแยก และมีการโยกย้าย เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอไม่มีความสงบสุข มีการกลั่นแกล้งระหว่างบุคลากรอยู่เสมอ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ เสมอ ในปัจจุบันดาว ๘ อยู่ในภพกัมมะ ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินงานในสถานที่แห่งนี้ ยอดนักศึกษาลดลง ขาดความเชื่อถือ และชื่อเสียงก็ไม่สู้ดีนัก ส่วนดาว ๗ จรอยู่ในภพกดุมภะ เล็งดาว ๒ ทำให้สถานะการเงินของสถานที่แห่งนี้มีปัญหาอยู่เสมอ ในระยะนี้ก็อยู่ในความพยายามที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงให้กับสถานที่แห่งนี้อย่างหนัก ซึ่งได้แต่รอดูว่าทำเลและความสามารถฃองคนอย่างไหนจะเหนือกว่า และเรื่องนี้จะเรียกว่าโชคชะตาหรือบังเอิญดีครับ การวิเคระห์นี้เป็นการวิเคราะห์รูปแบบการจัดวางสถานที่และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ถ้ามีโอกาสจะเขียนวิธีการวิเคราะห์ในรายละเอียดการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้มีความน่าสนใจมากทีเดียวครับ และปัจจุบันก็ไม่เคยเห็นการนำหลักวิชาแบบนี้มาใช้ ส่วนใหญ่จะใช้ทางด้วยศาสตร์ของจีนเรื่องฮวงจุ้ยกัน วันนี้เลยขอนำตัวอย่างแบบไทย ๆ มานำเสนอบ้างสลับกับทางจีน ว่าศาสตร์แบบนี้ไทยเราก็มีอยู่เหมือนกันครับ แต่ใครจะชอบแบบไหนก็ไม่ว่ากันนะ ลางเนื้อชอบลางยาครับ จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่าคนเราถ้าสามารถเลือกทำเล และวางแผนในเรื่องสถานที่ให้ดี ย่อมสามารถลดทอนอุปสรรคที่ไม่จำเป็นลงได้มาก เราสู้อยู่กับวาสนาซึ่งก็เป็นการเปิดศึกกับวาสนาและกรรมเก่าเพียงด้านเดียว ดีกว่าที่เราจะเปิดศึกกับสิ่งแวดล้อมอีกด้านหนึ่ง เท่ากับเป็นการเปิดศึก 2 ด้าน ท่านผู้อ่านว่าแบบไหนจะสบายกว่ากันครับ ฝากทิ้งไว้นะครับจะซื้อบ้านก็ดี จะเปิดสำนักงาน จะเปิดโรงงาน ก็น่าจะดูทำเลให้รอบคอบก่อนที่จะซื้อ เดี๋ยวนี้เงินทองไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ ที่ดินก็ไม่ใช่แค่บาทสองบาท ปรึกษาผู้รู้สักหน่อยก็ดีครับ อ้อที่เขียนมานี่น่ะผมไม่ได้มีอาชีพดูฮวงจุ้ยนะครับไม่ต้องติดต่อเชิญไปดู เพียงมาเขียนฝากข้อคิดสะกิดใจกันเท่านั้นครับ บทต่อไปจะนำเรื่องว่าด้วยการวางแผนชีวิตภาคฤกษ์งามยามดี ซึ่งหมายถึงวิธีการเลือกเวลาที่เหมาะกับการทำกิจกรรมที่ต้องการให้สำเร็จ รอติดตามต่อนะครับชอบเรื่องไหนแบบไหนก็ลองช่วยออกไอเดียร์กันมาที่เวปนี้ เผื่อผมรู้ ก็จะเขียนมาแลกเปลี่ยนความรู้กันบ้าง สวัสดีครับ ************************************ |