ReadyPlanet.com
dot
ประวัติอาจารย์
dot
bulletประวัติอาจารย์หยังกง
bulletประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ
bulletประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย
dot
บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆ
dot
bulletบทความ อ.เชียร บางบอน
bulletบทความ อ.ฮิม เมืองเลย
dot
รวมลิงค์
dot
bulletsanook.com
bulletpayakorn.com
bulletmeesook.com
bullethunsa.com
bulletpantip.com
dot
รับข่าวสาร

dot


Software บน Pocket PC / Plam




โรจน์ จินตมาศ

ดูดวง,โหราศาสตร์,ยูเรเนี่ยน,กาลโยค,พยากรณ์ฟุตบอล



เทศกาล article
เทศกาลสารทจีน
เทศกาลไหว้พระจันทร์
เทศกาลกินเจ
เทศกาลเช็งเม้ง

เทศกาลไหว้สารทจีน

     สารทจีนเป็นเทศกาลไว้เจ้าประจำเดือน 7 วันที่ 15 เรียกไหว้เทศกาลนี้ว่า “ตงง้วงโจ่ย” เป็นการไหว้ครั้งที่ 5 ของปี การไหว้สารทจีนจะมีพิเศษกว่าการไหว้ครั้งอื่น ๆ ว่ามีการไหว้ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากจะเป็นการไหว้เจ้าที่กับไหว้บรรพบุรุษแล้ว บางบ้านยังถือโอกาสนี้ไหว้ให้แก่ต้นตระกูลจีน หรือคนจีนที่มาเมืองไทยรุ่นบุกเบิก แล้วเสียชีวิตโดยไม่มีลูกหลานสืบสกุล จึงไม่มีคนไหว้ให้ ถ้าพูดหยาบก็ต้องว่า ผีไม่มีญาติ แต่ถ้าจะกล่าวให้น่าฟัง ก็คือ ต้นตระกูลจีน มีคำจีนเรียกว่า “ไป๊ฮ้อเฮียตี๋” 


     ดังนั้น การไหว้สารทจีนของบางบ้านจะมี 3 ชุด
                        ชุดหนึ่งไหว้เจ้าที่
                        ชุดหนึ่งไหว้บรรพบุรุษ
                        ชุดหนึ่งไหว้ต้นตระกูลจีน
     ในการไหว้เจ้าที่ ของไหว้จะมีของคาว ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทองสำหรับการไหว้บรรพบุรุษ ถ้าเป็นคนมีฐานะก็นิยมไหว้โหงวแซ คือมีเป็น ไก่ หมู ตับ ปลา พร้อมด้วยกับข้าวอีกหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะจัดที่บรรพบุรุษชอบ หรือจะจัดแบบที่ลูกหลานคนที่ได้กินจริงชอบ แต่ตามธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษ ต้องมีของน้ำสำหรับซดให้คล่องคอ จะเป็นน้ำแกงก็ได้ หรือเป็นขนม น้ำใส ๆ เช่น อี๊ (คือขนมบัวลอย) ก็ได้ วางเคียงกับชามข้าวสวยและน้ำชา ของหวานก็มี ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง
     ส่วนการไหว้ “ฮ้อเฮียตี๋” จะตั้งโต๊ะไหว้ที่หน้าบ้านของไหว้จะมีของคาว 1 อย่าง เช่น ไก่หรือเป็ด มีขนมเข่ง ขนมเทียน  ผลไม้ ข้าว 1 ที่ใส่หม้อไว้ และบางบ้านจะมีกระดาษเงินกระดาษทองแบบเฉพาะ ที่เรียกว่า “อ่วงแซจิว” ไหว้ด้วย
     การไหว้เจ้าที่ จะไหว้ก่อนในตอนเช้า เผากระดาษเงินกระดาษทองจนเรียบร้อย สาย ๆ จึงตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษและไหว้ฮ้อเฮียตี๋ บางบ้านนิยมไหว้ตอนบ่าย ถ้าไหว้พร้อมกัน ให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน แต่เผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้ สำหรับการไหว้ขนมเข่งขนมเทียนในเทศกาลสารทจีนนี้ ที่เมืองจีนไม่มี ขนมที่ใช้ไหว้ที่เมืองจีนจะเป็นขนม 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวเปี้ย” หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า “ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี”
                    ปัง คือ ขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำจากน้ำตาล
                   เปี้ย คือ ขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่
                   หมี่ คือ ขนมหมี่เท้า ทำจากแป้งข้าวเจ้า ข้างในไส้เต้าซา
                    มั่ว คือ ขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดง ตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง
     ขนมทึงกีนี้ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาว เวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เนื่องจากที่เมืองไทยหาส่วนผสมที่ใช้ทำขนมทั้งห้านี้ไม่ได้ครบถ้วน จึงงดไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นการไหว้ขนมเข่งขนมเทียนในการไหว้เทศกาลสารทจีน 
                                                                             ............................
                                       ข้อมูลจากหนังสือ “ตึ่งหนั่งเกี้ย” โดยจิตรา ก่อนันทเกียรติ หน้า 72-77

TOP>>

เทศกาลไหว้พระจันทร์

         

      เทศกาลไหว้พระจันทร์ ภาษาจีน เรียกว่า   " จงชิวเจี๋ย " ของชาวจีน โดยปกติจะ มีขึ้น ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 8 ของปฎิทินจันทรคติ
 ( ราวเดือนกันยายน หรือ ตุลาคม ) หรือเข้าสู้ เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง โดยนี้การจัดพิธีให้มีขึ้น เพื่อระลึกถึงเทพธิดาแห่งพระจันทร์ ซึ่งเชื่อกันว่า
 ถือกำเนิดขึ้นในวันนี้ 
      อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ยังคงไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่า จักรพรรดิ์วูแห่งราชวงศ์ฮั่น
เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบไหว้พระจันทร์ เป็นเวลา 3 วันในฤดูใบไม้ร่วงนี้ แต่หลายคนก็แย้งว่า ความจริงแล้วเทศกาลนี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 1911
ในช่วงมองโกลยึดครองจีน
      ขนมเค้กที่ทำขึ้นก็เพื่อซุกซ่อนข้อความลับของพวกกบฏ ที่มีถึงประชาชนทั่วทั้งประเทศให้มาชุมนุมกันครั้งใหญ่ในเดือน 8 นี้ ทหารมองโกลไม่ได้ระแวง  ถึงจุดประสงค์ของพวกกบฏ   เพราะคิดว่าขนมเค้กเหล่านั้นเป็นการทำตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจีน  ด้วยเหตุนี้ในคืนนั้นเองทหารมองโกลจึงถูกปราบเสียราบคาบ  หลังจากที่ราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์หมิง ได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว ประเพณีนี้ก็ถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้
       นอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้แล้ว ก็ยังมีนิทานและตำนานอีกหลายเรื่องหนึ่ง  ในจำนวนนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับนางเสี้ยงหงอ (บ้างก็เรียกฉางอี้) ซึ่งเป็นหญิงที่มีความงดงามมาก นางเป็นภรรยาของขุนนางจีนท่านหนึ่ง หลังจากที่นางทานยาวิเศษเข้าไป นางก็เหาะขึ้นไปอยู่บนพระจันทร์ ภายหลัง  นางกลายเป็นอมตะ หลังจากที่ ได้ดื่มน้ำอมฤตของเทพธิดาองค์หนึ่งบนสวรรค์  กล่าวกันว่า นางจันทรเทพธิดาเสี้ยงหงอมีน้ำใจเมตตาเอื้ออารีมาก พอถึงฤดูกาล เพาะปลูกนางก็จะประพรมน้ำอมฤตลง มาบนพื้นโลก และนี่ก็นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาวไร่ชาวนาทั้งมวล เพื่อเป็นการแสดงความ
กตัญญูต่อ นางจันทรเทพธิดา ชาวนาจึงทำขนมโก๋จากแป้งข้าวเจ้าเพื่อสักการะนาง ในคืนวันเพ็ญเดือน 8 ของจีนเป็นประจำทุกปี
       เนื่องจากว่าโดยปกติประเพณีต่างๆ ของชาวจีนจะเกี่ยวข้องกับการทำอาหารพิเศษ ๆ เพื่อเป็นเครื่องสักการะในวันนั้น แต่ว่าอาหารจีนที่ทำขึ้นในวันไหว้พระจันทร์นี้ไม่ใช่ขนมเค้ก อย่างเช่น ของชาวตะวันตกตามที่เข้าใจกัน ในประเทศไทย ศิลปะการทำขนมเค้กแบบชาวจีนนี้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวจีน
อพยพมากว่า 100 ปีมาแล้ว
       ขนมไหว้พระจันทร์ของจีนแต่เดิมนั้นมีส่วนประกอบ เช่น ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด และ เมล็ดบัว เป็นต้น ในประเทศไทยก็มีส่วนประกอบที่แตกต่างออกไป เช่น การรวมเอาทุเรียน ลูกเกาลัด และลูกพลับเข้าไว้ด้วย เครื่องปรุงที่เพิ่มเข้ามาก็อาจจะรวมเอาเมล็ดบัว ไข่แดงเค็ม และเมล็ดแตงโมด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า โดยปกติแล้วพิธีนี้จะให้สตรีเป็นผู้ทำ เพราะว่า คนเชื่อกันว่าพระจันทร์มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับเทพเจ้าสตรีเรื่อยมา ดังนั้น จึงมีการบูชาด้วยแป้ง และ เครื่องสำอางด้วยเพราะหวังว่าการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งความสวยงามและผิวงามแก่สมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงทั้งหมด
ไม่ว่าความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อตามประเพณี และพิธีที่สืบทอดกันมาชั่วลูกชั่วหลานของชาวจีนแต่ประการใด

TOP>>

เทศกาลกินเจ

 

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ ไปจนกระทั่งขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 เราจะเห็นธงสีเหลืองมีตัวหนังสือสีแดง ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไปตามร้านอาหาร 2 ข้างถนน นั่นบ่งบอกให้รู้ว่า เป็นช่วงเวลาของเทศกาลกินเจ

ถ้าสังเกตดูให้ดีในแต่ละปีนั้น ดูเหมือนว่าความหนาตาของธงเจที่ปรากฏจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน การหาอาหารเจรับประทานนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก ผิดกับปัจจุบันที่เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ก็มีอาหารเจให้ซื้อหาได้ง่ายขึ้น แถมยังมีรสชาติอร่อย ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผู้คนหันมา "กินเจ" กันมากขึ้น

แต่ "เจ" นั้นมีที่มาอย่างไร การกินแบบไหนจึงจะเรียกว่า "กินเจ" หรือแค่เพียงไม่รับประทานอาหาร ที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ ถ้าเช่นนั้นการกินเจแตกต่างกันอย่างไรกับการกินมังสวิรัติ รวมทั้งข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ถึงไม่ได้เป็นช่วงขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 9

หาคำตอบได้ในบทความพิเศษชิ้นนี้

    ที่มาของเทศกาลเจ

เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น

ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน

2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน

3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

    ความหมายของ "เจ"

"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึงหมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

    ความหมายของ "ธงเจ"

อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

    การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ

เมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้

·         งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

·         งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

·         งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

·         งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน

·         รักษาศีล 5

·         รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่

·         ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

    อาหารเจ

ปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

    "เจ" กับมังสวิรัติ

อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

    กิน "เจ" ที่ภูเก็ต

"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

   

         9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต

กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ

เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

 

ที่มา : งานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว

 

 

TOP>>

เทศกาลเช็งเม้ง

เทศกาลเช็งเม้ง ( การไหว้บรรพบุรุษ )
เทศกาลเช็งเม็งในปีนี้ ตรงกับวันที่ 5 เมษายน  เป็นวันที่คนไทย เชื้อสายจีน จะไปทำหน้าที่การแสดงความกตัญญู โดยไปไหว้บรรพบรุษุที่สุสาน เพื่อที่จะไปทำความสะอาดและไหว้ขอพรจากบรรพบุรุษ และยังถือเป็นการพบปะญาติพี่น้องกันที่อาจจะไม่ค่อยได้พบหน้ากัน ในปัจจุบันถ้าไปไหว้วันที่ 5 เมษายน พร้อมกัน หรือบางบ้านมักไปไหว้ช่วงวัน เสาร์ อาทิตย์ จะทำให้การจราจรติดขัดมาก ก็ควรมีการหลีกเลี่ยงจะดีที่สุด ในยุคน้ำมันแพง หรือบางบ้านมักมีการฤกษ์ยาม วันที่ดีไปไหว้ก็สุดแล้วแต่

                                               
สิ่งของที่ต้องเตรียมและการไหว้ในเทศกาลเช็งเม็ง
1. ไหว้ที่กง เทพยดาฟ้าดิน

 สิ่งที่ใช้ไหว้ – น้ำชา 5 ถ้วย , ส้ม 5 ใบ อาจมีขนมเปี๊ยะ หรือ ซาลาเปา
กระดาษไหว้ – หงิ่งเตี่ย 5 ชุด , ค้อซี 12 ใบ ในใส่กระทง(อ่วงป้อ) 1 ชุด
การไหว้ – จุดเทียน 1 คู่ ธูป 5 ดอก ไหว้ อธิฐานต่อเทพยดาฟ้าดินให้มารับ
เครื่องเซ่นไหว้ และบอกต่อท่านว่า วันนี้เรามาไหว้บรรพบุรุษ พ่อ แม่ หรือ อากง – อาม่า สี่สุสานไหน ขอให้เทพยดาฟ้าดิน เปิดทางให้บรรพบุรุษได้มารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ลูกหลานนำมาไหว้ในเทศกาลเช็งเม็ง
2. ไหว้แปะกง เทพยดาผืนดิน เจ้าที่ประจำสุสาน
สิ่งที่ใช้ในการไหว้ – น้ำชา 5 ถ้วย , ส้ม 5 ใบ อาจมีขนมเปี๊ยะ หรือ ซาลาเปา
กระดาษไหว้ – หงิ่งเตี่ย 5 ชุด , ค้อซี 12 ใบ ในใส่กระทง(อ่วงป้อ) 1 ชุด
การไหว้ – จุดเทียน 1 คู่ ธูป 5 ดอก ไหว้แปะกง และอีก 2 ดอกไหว้เจ้าประตู 2 ข้างและอธิฐานต่อองค์แปะกงว่าให้มารับเครื่องเซ่นของไหว้ และบอกต่อท่านว่า วันนี้เรามาไหว้บรรพบุรุษ พ่อ แม่ หรือ อากง – อาม่าที่สุสานแห่งนี้ ขอให้แปะกงเปิดทางให้บรรพบุรุษได้มารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ลูกหลานนำมาไหว้ในเทศกาลเช็งเม้ง
3. ไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้ย แบ่งออกเป็น 2 ชุด
ชุดที่ 1 ไหว้โท่วตี่ซิ้ง , แปะเอี๊ย , เจ้าที่ประจำฮวงซุ้ย (โดยส่วนมากมักไหว้ทางด้านซ้ายของฮวงซุ้ย)
สิ่งที่ใช้ในการไหว้ – น้ำชา 5 ถ้วย,เหล้า,ส้ม 5 ใบ (หรือผลไม้ 5 อย่าง) อาจมีขนมเปี๊ยะ, ซาลาเปา มีซาแซด้วยก็ได้
กระดาษไหว้ – หงิ่งเตี่ย 5 ชุด , ค้อซี 12 ใบ ในใส่กระทง(อ่วงป้อ) 1 ชุด
การไหว้ – จุดเทียน  คู่ ธูป 5 ดอก ปักบนฟัก (อย่าลืม เตรียมฟักไปปักธูปเทียน ใช้ในการทดแทนกระถางธูป) อธิฐานต่อแปะเอี๊ย เหมือนกับที่อธิฐานต่อองค์แปะกง
ชุดที่ 2 ไหว้อากง อาม่า หรือ พ่อแม่
สิ่งที่ใช้ไหว้ – น้ำชา เหล้า ข้าวสวย จัดตามจำนวนบรรพบุรุษที่หลุม
- อาหาร 8 – 10 อย่าง
- หอยแครงลวก ( ไหว้เสร็จแล้วแกะกินที่ฮวงซุ้ย แล้วทิ้งเปลือกที่หลุม)
- ซาแซ หรือ โหงวแซ
- ผลไม้ 5 อย่าง
- ซาลาเปา ฮวกก้วย ขนมอื่นๆตามใจชอบ
- ขนมในเทศกาลนี้ คือ “จูชังเปี้ย” เป็นขนมเปี๊ยะที่มีต้นหอมผักชีมันหมูเป็น ส่วนประกอบ มีทั้งไส้หวาน ไส้เค็ม หรือ แบบกรอบตามความชอบ
- กระดาษไหว้ มีอ๋วงแซจี๊ กิมจั๊ว เสื้อผ้า ทองแท่ง และอื่น ๆ แล้วแต่บางบ้านจะซื้อหามา
       ในการไหว้ที่สุสานต้องไหว้แปะเอี๊ยก่อนแล้วไหว้บรรพบุรุษใช้ธูปคนละ 3 ดอก อธิฐานให้บรรพบุรุษมารับเครื่องเซ่นไหว้และขอพรตามแต่ที่คุณจะปรารถนาในการไหว้บรรรพบุรุษควรไหว้ 3 รอบ แล้วจึงเผากระดาษเงิน กระดาษทอง หลังจากนั้นก็จุประทัดเพื่ออวยพร ให้ลูกหลานทุกคนโชคดี

TOP>>




รวมเนื้อหาและบทความ

วิธีคำนวณธาตุของปี article
วิธีคำนวณธาตุของปี article
โปรแกรม ดาวเก้ายุค แจกฟรี article
ประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ article
ประวัติอาจารย์หยังกง article
บริการ ฮวงจุ้ย ดวง และฤกษ์ยาม article
ไม้บรรทัดจีน หลู่ปังเชียะ article
วิธีคำนวณธาตุของปี มะแม 2558 article
ความมหัศจรรย์ของตัวเลขเบอร์โทร article
วิธีคำนวณธาตุของปี article
ฤกษ์ยามทิศทางที่ดี ตามแบบฉีเหมินตุ้นเจี่ย article
การวัดทิศทางและหาจุดศูนย์กลาง article
ประมวลภาพเดินทางไปไต้หวัน article
ดูบ้านประธานบริษัท ตงเหว่ย พร็อบเพอร์ตี้ article
ปฏิทินฤกษ์ยาม ประจำเดือน article
ความสำคัญของรูปลักษณ์ article
เข็มทิศ article
เทศกาลกินเจ article
ประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย article
แหล่งและเกร็ดความรู้ article
เคล็ดวิชาเดินดาว สำนักดาวเหิน article
หนังสือเสิ่นซื่อ article
การใช้หลัวผัน หรือ หล่อแก article
คุยเฟื่องเรื่องดวงจีน article