ReadyPlanet.com
dot
ประวัติอาจารย์
dot
bulletประวัติอาจารย์หยังกง
bulletประวัติอาจารย์จางจื่อน่ำ
bulletประวัติอาจารย์ เซ้าคังเจี๋ย
dot
บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆ
dot
bulletบทความ อ.เชียร บางบอน
bulletบทความ อ.ฮิม เมืองเลย
dot
รวมลิงค์
dot
bulletsanook.com
bulletpayakorn.com
bulletmeesook.com
bullethunsa.com
bulletpantip.com
dot
รับข่าวสาร

dot


Software บน Pocket PC / Plam




โรจน์ จินตมาศ

ดูดวง,โหราศาสตร์,ยูเรเนี่ยน,กาลโยค,พยากรณ์ฟุตบอล



ชื่อนั้นสำคัญไฉน article

ชื่อนั้นสำคัญไฉน เป็นหนึ่งในหลากหลายเรื่อง ที่มีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก และมีการสอบถาม เข้ามาในส่วนของกระทู้  บ้านฮวงจุ้ย  เกี่ยวกับ ชื่อของตนเอง หรือ ทุกท่านที่มีการเข้ามาเยี่ยมชม มากมาย จนทำให้ผม(อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย) ต้องระลึก นึกถึงท่านอาจารย์ เชียร บางบอน ที่ท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนดวงไทย ให้กระผมอีกท่านหนึ่ง จนผมต้องมีการถือโอกาส ขอบทความ มาลงให้กับท่านผู้อ่านทุกท่าน 
     ก่อนที่จะเริ่มบทความ ชื่อนั้นสำคัญไฉน ต้องถือโอกาส ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์ เชียร บางบอน ที่อุตส่าห์ อนุเคราะห์ บทความมาให้กับทางเรา และขอให้ท่านอาจารย์ มีสุขภาพ แข็งแรง

อ.สมพร บ้านฮวงจุ้ย

     

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

โดยอาจารย์   เชียร   บางบอน
      ท่านผู้อ่านพอเห็นชื่อเรื่องแล้วก็คงนึกว่าผมน่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในเรื่องการตั้งชื่อเป็นแน่แท้  แต่ต้องเรียนท่านผู้อ่านตามตรงว่าผมเองนั้นไม่ได้มีความสามารถในเรื่องชื่อแต่ประการใด  รู้จากการอ่านในตำรับตำราที่พิมพ์ขายโดยทั่วไป ว่าผู้ชายต้องใช้  เดช  นำหน้าชื่อเป็นความก้าวหน้าเป็นเจ้าคนนายคน  ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้อง  ศรี นำหน้าจะได้เป็นที่รักใคร่เมตตามีความสุขลาภผลอุดมสมบูรณ์  สิ่งเหล่านี้ได้รู้ได้อ่านมานานแต่ก็ไม่เคยสนใจ แม้แต่ตอนเรียนกับอาจารย์ก็ไม่สู้จะใส่ใจในเรื่องนี้ เช่นกัน เพราะโดยความรู้สึกลึกๆแล้วผมจะคิดเสมอว่า คนเราดีชั่วอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงเรียงนาม  ลำพังแต่ชื่อไม่น่าจะมีอิทธิพลที่จะทำให้มีเรื่องดีร้ายอย่างใดได้   ต่อมาก็เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่ดารานิยมเปลี่ยนชื่อเสียงกัน นัยว่าเป็นการเปลี่ยนเพื่อให้มีชื่อเสียงเป็นดาวค้างฟ้า แต่ก็ปรากฏว่าไม่นานนักผู้ที่เปลี่ยนชื่อก็เงียบหายไปในวงการ  กระแสเปลี่ยนชื่อตามมาไม่หยุดหย่อนจนน่าตกใจ มีการแนะนำเรื่องชื่อกันมากมายหลายแขนง ไม่ว่าเป็นการตั้งชื่อแบบวิชาเลขศาสตร์ที่ก็มีอยู่หลายตำรับ บางท่านเปลี่ยนไปแล้วพอถูกอีกอาจารย์ทักก็เปลี่ยนอีกวนเวียนไม่รู้จักหยุดจักหย่อน มา 2 – 3 ปีให้หลังผมมักถูกให้วิจารณ์เรื่องชื่ออยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้นัก  การตั้งชื่อนั้นผมเรียนมาก็ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมากนัก ท่านอาจารย์เน้นไว้เพียงว่า
     1.       ต้องเลือกใช้อักษรที่มีพลังและเป็นอักษรที่เป็นเสียงเน้นในชื่อนั้นๆ
     2.       จำนวนอักษรไม่ควรมากเกินไปเพราะทำให้ต้องออกเสียงยาว ทำให้ชื่อที่เรียกขาดพลัง
     3.       ความหมายของชื่อต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ไม่ควรเป็นเพียงแค่อักษรเสียงไพเราะเท่านั้น
     4.       อักษรของชื่อไม่ควรเป็นดาวคู่ศัตรูกันเพราะทำให้เชื่อมีอุปสรรค
     วันนี้ขอว่าถึงเรื่องชื่อนะครับผิดพลาดต้องขอโทษท่านผู้รู้ เพราะเรื่องนี้ผมอ่อนด้อยไม่สู้จะสันทัดมากนัก แต่ก็อยากเขียนเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนชื่อ เอามาดูตัวอย่างกัน ดังต่อไปนี้ครับ
     ดวงนี้เป็นผู้หญิง  เกิดอังคารวันที่ 21 กันยายน  2508  เวลา 15.05 น.  

     ชื่อเดิมของเธอคือ เสาวภา ผมไต่ถามเรื่องชื่อของเธอว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยน เธอบอกว่าหมอดู  อ้างว่า ชื่อของเธอบวกกันได้ 18  ชีวิตของเธอจะพบกับเรื่องความแตกแยก พลัดพรากจากคนรัก จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน จะป่วยเป็นโรคหัวใจ ชีวิตจะถูกหลอกลวง ถูกโกหกหักหลัง   ชีวิตจะพบกับความวิบัติในบั้นปลายชีวิต 
     พอได้ฟังว่าเธอจะต้องเป็นอย่างนี้ผมก็เลยเชียร์เธอให้เปลี่ยนแบบสุดลิ่มทิ่มประตูพร้อมกับยกมือขวาแล้วเสียบบัตรตามลักษณะที่เคยชินแล้วเปล่งวาจาว่า  “เห็นด้วยครับ” เธอบอกว่าชื่อใหม่ของเธอคือ  รมิดา ชื่อนี้รวมกันจะได้ 15 คือเลขที่อยู่ในอิทธิพลดาว ๒ เธอจะเป็นคนมีเสน่ห์ข้าไหนคนชอบ เลข 15 เป็นคู่มิตรใหญ่ชีวิตจะประสบความสำเร็จทรัพย์สินเงินทอง ลาภจะไหลมาเทมาเหมือนดั่งคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าฝั่งอันดามัน มากแค่ไหนก็ลองไปจินตนาการดู พอคิดถึงคลื่นที่เป็นโชคใหญ่ขนาดที่ว่าซึ่งผมก็เป็นคนที่มีส่วนรวมในการไปบูรณะพื้นที่แถบนั้น พอจะนึกเห็นภาพขนาดใหญ่โตของคลื่นก็ต้องยกมือพร้อมกับว่า เห็นด้วยครับ ผมไม่ได้ท้วงติงไป  หลังจากนั้นเธอก็ให้ผมดูดวง พยากรณ์ไปตามปกติ กาลเวลาผ่านไปเกือบปี เธอมาพบผมอีกครั้งในปลายเดือน ก.พ. 47  ซึ่งผมเคยเตือนเธอว่าต้องระวังสุขภาพให้ดีอาจจะเจ็บป่วยได้  เธอมาพบก็พูดทันทีว่า
     “นี่อาจารย์ปีที่แล้วตอนหนูเปลี่ยนชื่ออาจารย์บอกว่าดี ไม่เห็นคัดค้านหนูเลยว่าเปลี่ยนแปลงจะเจ็บป่วยแบบนี้”  ผมก็เลยงงๆๆ พอตั้งสติได้ก็ถามทันที
     “อ้าวแล้วมันเกี่ยวกับเรื่องชื่อตรงไหน ก็บอกแล้วไงว่าระวังสุขภาพหน่อยไม่สู้ดี เจ็บอะไรก็รีบไปหาหมอเสีย จะได้รักษาเสียแต่เนิ่นๆ แล้วเป็นอะไรไปล่ะถึงต้องมาหาหมอดู ไปหาหมอรักษาโรคจะถูกทางกว่า “ เธอกระฟัดกระเฟียดแบบคนหงุดหงิดออกอาการให้เห็น
     “นั่นแหละๆ มันก็หาทั้งสองหมอเลย คราวก่อนตอนเปลี่ยนชื่ออาจารย์ก็ไม่ทัก พอหนูบอกอาจารย์ก็พยักหน้าเห็นด้วย อย่างกะ ส.ส. ในสภาเลยไม่เห็นคัดค้านอะไรให้หนูได้คิดเลย นี่เสียดายที่ไว้ใจกันมาตลอด ฮึ...”  อาการงงแบบดับเบิ้ลแสตนดาร์ดก็เกิดกับผม
     “ก็ตอนนั้นหนูว่าเปลี่ยนแล้วชื่อ จะมีโชคใหญ่แบบสึนามิไงล่ะ “  ผมต้องรีบแย้ง
     “สึนามินาแงะอะไร หนูโดนโชคแบบนั้นจนหูหนูดับไปข้าง หมอว่าประสาทหูของหนูอักเสบจนต้องพิการไม่ได้ยินแล้ว โชคที่ว่าน่ะซัดซะหูของหนูดับเลย หนูกลายเป็นคนหูหนวกถาวรข้างซ้ายนี่แหละ “ ผมจึงถึงบางอ้ออยากจะปล่อยก๊ากออกมาดังๆให้ชุ่มหัวใจก็ไม่กล้า เพราะสังเกตุเห็นว่าเธอคงไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยแน่นอน  จึงต้องถามไถ่กันที่มาที่ไปว่าเกิดจากอะไร
     “แล้วไปเกี่ยวอะไรกับชื่อล่ะ”
     “หนูไปทำบุญกับหลวงพ่อที่วัดมา  ท่านทักว่าชื่อของหนูตัวนำเป็นราหู เป็นนิจในราศี จะทำให้ฐานะตกต่ำล้มละลาย แต่คงขายตัวไม่ได้อายุปูนนี้คงไม่มีใครซื้อ แถมตัว ม ก็เป็นพฤหัสก็เป็นประกับอริ อาจจะทำให้มีปัญหากับพี่น้องจะเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมะเร็ง แถมต้องยากจนวิบัติ แล้วตัว ด ก็เป็นดาวเสาร์ชีวิตก็จะทุกแต่เรื่องเงินเพราะอยู่เรือนราหูเป็นประด้วย นี่อาจารย์ดูที่หนูจดมาสิ “  ผมรับมาอ่านแล้วพยักหงึกๆไม่รู้จะว่าอย่างไรดี
     “นี่ๆอาจารย์หลวงพ่อท่านว่าจริงมั้ย อย่ามั่วแต่พยักหน้านะ ชื่อที่แล้วหนูหมดเงินไปสองพันแถมหูอีกข้าง อาจารย์ลองหาชื่อที่จะทำให้เงินกลับคืนพร้อมกับหูด้วยได้ไหม” คราวนี้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แขกของผมจึงทำตาปะหลับปะเหลือกค้อนแบบไม่สบอารมณ์ ผมเลยต้องหยุดขำแล้วเริ่มต้นอธิบาย
     “นี่หนูการตั้งชื่อนั้นมีหลายตำรับตำรา  อาจารย์แต่ละท่านก็มีหลักการต่างกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องถกเถียงกัน และหาข้อยุติได้ยาก เพราะทุกคนก็ยึดถือว่าตำราของตนเองนั้นขลัง ถ้ายึดถือตามตำราเลขศาสตร์ชื่อก็รมิดา ก็มีความหมายที่ดี คือแปลว่าผู้มีความสุข จำนวนเลขบวกได้ 15 ก็เป็นเลขแห่งความสำเร็จตามที่เขาว่า และชื่อเสาวภาก็เป็น 18 มีความไม่ดีอีกเช่นกัน ถ้าเราเชื่อถือเลขศาสตร์ก็น่าจะถือได้ว่าสิ่งที่เขาตั้งให้ก็เหมาะสมแล้ว”  พออธิบายจบแขกก็ถามทันที
     “แล้วที่หลวงพ่อบอกน่ะจริงรึเปล่า” ผมได้แต่ส่ายหน้าคนเราเพราะไม่รู้ก็เชื่อถืออะไรกันง่ายๆแบบนี้แหละ
     “อักษรที่ท่านหลวงพ่อพูดนั้นเป็นการตั้งชื่อในระบบทักษาซึ่งก็เป็นการตั้งชื่ออีกระบบหนึ่งซึ่งอิงกับระบบโหราศาสตร์ สิ่งที่ท่านพูดไว้ก็น่าจะเป็นไปตามนั้น “
     “อ้าว..แล้วอาจารย์ว่าหนูควรเชื่อแบบไหนดีล่ะ” ตอนนี้เธอเลยอยู่ในอาการเหมือนนักมวยถูกน็อค คือไม่รู้ทิศทางว่าเหนือใต้อยู่ทางไหน  เห็นๆแล้วก็อดสงสารเธอไม่ได้ 
     “นี่ตั้งใจฟังนะ ชื่อนั้นเป็นเรื่องที่เราใช้เรียกกันอยู่ จะว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชื่อจะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราให้เป็นได้อย่างที่ใจนึก ชื่อดีก็เหมือนก็เหมือนคำอวยพรที่คนฟังก็รู้สึกดี ฟังแล้วก็ชุ่มชื่นหัวใจ ชื่อไม่ดีก็เหมือนคนดุด่าสาปแช่งเรา  ถ้าเราไม่ใส่ใจเป็นสาระก็ย่อมไม่มีผลกับตัวเรา เหมือนคนด่า ถ้าเราก็ฟังผ่านไม่มีอารมณ์กับคำเหล่านั้น เราก็ย่อมไม่รู้สึกต่อเสียงเหล่านั้นจิตใจเราก็สงบได้เช่นกัน แต่ถ้าเราไม่มีสติเกิดความกังวลในคำเหล่านั้นอารมณ์ย่อมขุ่นมัว ทำการสิ่งใดก็ไร้ผล ชื่อก็มีผลกับเราแบบนี้แหละ “
     “แล้วอาจารย์ว่าชื่อไม่มีผลเลยหรือไงคะ” เธอเกิดความสงสัยแต่จิตใจภายในยังเชื่อในเรื่องชื่ออย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
     “ ถ้าเราเชื่อว่าชื่อนั้นมีอิทธิพลเราก็ต้องเชื่ออาจารย์ที่เขาตั้งมาว่าดี ทีนี้เมื่อเกิดมติ 2 แบบ ก็ต้องขึ้นกับเราว่าจะศรัทธาแบบไหน “ ผมพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจและช่วยคลายความกังวลให้เธอ แต่ก็ไม่เป็นผลอยู่ดี เพราะเธอไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ แต่จิตก็มีความกังวลในเรื่องนี้อยู่ เพราะมีอวิชาครอบอยู่
     “ ที่อาจารย์อธิบายมาหนูไม่เข้าใจค่ะ แต่อยากให้อาจารย์ช่วยตั้งชื้อให้หนู เอาแบบที่ดีๆทั้งสองแบบเลยได้ไหมค่ะ ตอนนี้หนูน่ะมึนไม่รู้จะเอาทางไหน อาจารย์มีประสบการณ์ก็เลือกแบบเจ๋งๆมาให้หนูดีกว่า จะเปลี่ยนชื่อทีไม่ได้ง่ายๆนะคะ” บทสรุปของเจ้าหล่อนก็มาลงที่ตรงนี้เรื่องการเปลี่ยนชื่อ เอวังด้วยประการฉะนี้
     ในการตั้งชื่อนั้นในระบบโหราศาสตร์ไทยนิยมใช้ทักษาเข้ามาเป็นหลักในการพิจารณา แล้วมีการแตกไปตามมติความเชื่อของอาจารย์แต่ละสำนัก ซึ่งถ้าจะนับไปในคัมภีร์ทักษาก็ได้มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องชื่อไว้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก  สำนักโหรที่มีความสามารถในเรื่องการตั้งชื่อน่าจะเป็นระบบสิบลัคนา ซึ่งอาจารย์อรุณ เทศถมทรัพย์ท่านได้เคยแสดงความสามารถมาให้ประจักษ์แล้ว และยังมีทั้งลูกศิษย์ลูกหาสืบทอดกันต่อๆมาในปัจจุบัน ตรงนี้ก็แล้วแต่ผู้ที่เชื่อถือศรัทธา  แต่ในระบบอื่นก็มีเรื่องการตั้งชื่อแต่ก็ไม่สู้ได้ปรากฏชื่อเสียงโด่งดังมากนัก  หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ทราบก็ไม่รู้ ในระยะหลังก็มีท่านอาจารย์พลูหลวงได้มาจุดประกายการตั้งชื่อในระบบเลขศาสตร์ขึ้นอีกระบบ แล้วมีการใช้ทำนายทายทักกันอย่างกว้างขว้าง จนมีคนตั้งตัวเป็นอาจารย์ตั้งชื่อในระบบนี้อย่างมากมาย และจึงเป็นที่มาของมหกรรมความสับสนในการตั้งชื่อในยุคนี้ ถ้าจะแบ่งก็น่าจะมี 3 พวก คือ
     1.       พวกโหราศาสตร์
     2.       พวกเลขศาสตร์
     3.       พวกโหราศาสตร์ + เลขศาสตร์
     ถ้าจะพบกันครึ่งทางก็คงต้องเลือกพวกที่ 3 จะดูเส้นทางสดใสกว่า (ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะศรัทธาเล้ย)  การใช้ทักษามาตั้งชื่อนั้น ผมได้รับการอบรมว่าต้องใช้เสียงเป็นตัวกำหนด เช่นคำว่า วิชาญ จะให้ความสำคัญเสียงอักษร ช เป็นหลักเนื่องจากเราเน้นเสียงที่อักษร ช  เอาเป็นว่าง่ายก็คือเสียงอะไรที่ฟังชัดก็ใช้เสียงนั้นเป็นตัวกำหนด  แต่มาภายหลังก็มีคนมาสอนผมว่าต้องใช้อักษรนำเป็นอักษรหลัก ผมก็ว่ามีเหตุผลแต่ก็เชื่อเรื่องเสียงที่เน้นคำมากกว่า  แต่ก็เอาเถอะเพราะทุกอย่างก็ล้วนแต่มีผลในทางปฏิบัติทั้งสิ้นก็ไม่น่าจะเกี่ยงงอนอะไรกัน เอาแบบสบายๆก็แล้วกัน เราลองมาวิเคราะห์ในแบบโหราศาสตร์ว่าชื่อไหนเป็นแบบใดแล้วก็ลองมาดูว่าควรเปลี่ยนแบบไหน
     เราพิจารณาชื่อเดิมก่อน ชื่อเดิมจะประกอบด้วยอักษรนำคือ ส = ดาว ๖ , สละทั้งหมดคือ เ , ขึ้นอยู่กับอิทธิพล ดาว ๑ , อักษร ว ขึ้นอยู่กับ ดาว ๘ และ อักษร ภ ขึ้นอยู่กับดาว ๕  สรุปคือดาวที่มาเกี่ยวข้อง มี ดาว ๖  ๑   ๘  ๕ อักษรนำจึงเป็นดาว ๖ ชื่อนี้มีดาวประกอบดังนี้
     ดาว ๖ + ๑  คู่สมพล ส่งเสริมให้ งานก้าวหน้ากิจการใหญ่โต
     ดาว ๖  +  ๘  คู่ชู้และคู่เสี่ยง ชีวิตมักต้องวุ่นอยู่กับเรื่องที่ต้องเสี่ยงทางการเงินเสมอ
     ดาว ๖ + ๕  เป็นการเงิน จะทำให้มีเงินทองและทรัพย์สิน
     ตรงนี้อ่านจากความหมายเพราะเคราะห์คู่
     ดาว ๖ ครองภูมิ อุตสาหะ  เป็นเกษตรในภพกัมมะ ชื่อนี้จึงทำให้เป็นคนที่มีงานมั่นคง  ดาว ๓ ร่วมเรือนเป็นบริวาร เจ้าตัวจึงเป็นทำงานที่มีบริวารใช้สอยอยู่มากทีเดียว ดาว ๓ เป็นประ บริวารลูกน้องจึงเป็นประเภทผู้ใช้แรงงานแต่ก็เกื้อกูลกันดี เพราะเป็นคู่มิตร  ในเรือนดาว ๖ มีดาว ๘ เป็นนิจครองภูมิมูละ งานของเธอจึงมักจะเหลือเป็นกำไร(มูละ)ไม่มากนัก แต่ก็สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมั่นคง
     ดาว ๕ ที่เป็นเสียงหนักปิดท้าย ครองภูมิศรีอยู่ในเรือนอริ เป็นประ รายได้หรือความสำเร็จของเธอก็ได้มาโดยความเหนื่อยยาก ผลที่เหลือก็น้อย ร่วมเรือนกับดาว ๑ มนตรี อยู่ในภพศุภะ ต้องใช้จ่ายหมดไปกับการช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ
     นี่เป็นรูปอิทธิพลของชื่อที่เกิดจากพื้นดวง  คราวนี้เรามาลองอ่านในภาคปาฏิหารย์กันบ้าง 
     เมื่อกำหนดดาว ๖ เป็นอักษรนำแล้ว เราก็ตั้งภูมิบริวารที่ดาว ๖ เลข ก็จะได้ดังนี้
     ลัคนาอยู่ในเรือนมูละ อยู่ในภพกดุมภะคู่มิตร ชื่อนี้จะมีผลให้เธอเป็นดังนี้
     ดาว ๗ ภูมิเดช เป็นตนุ จึงหมายถึงเป็นคนที่มีอำนาจ อยู่ในภพกดุมภะคู่มิตร จะมีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของกิจการที่มีรายได้มาก แต่ดาว ๗ อยู่ในเรือนกาลีภพกดุมภะ เงินทองที่หาได้ก็มักมีอันสูญเสียหมดเปลืองไปเพราะบริวารที่ไม่เอาไหน (ดาว ๘ อยู่ปุตตะเป็นนิจ) และความก้าวหน้าของเธอก็มักจะมีเรื่องเดือดร้อนในเรื่องการเงินๆทองๆที่คนใกล้ชิดก่อขึ้นเสมอ
สรุปก็คือในด้านไม่ดีชื่อทำให้เธอทำมาหาได้ แต่ไม่ได้เก็บเพราะถูกคนรอบข้างเบียดเบียน
     ในด้านดี ดาว ๓ เป็นศรี  อยู่ภพกัมมะ การงานการค้าก็คล่องแคล่วมีงานมีการสม่ำเสมอ ดาว ๖ บริวารเป็นเกษตร จะมีบริวารอยู่กันอย่างมั่นคง แต่ศรีเป็นประ ย่อมทำให้ความสำเร็จต้องลดน้อยถอยลงไปด้วย
     สรุปในด้านดีก็คือการงานก็ดีมั่นคงข้าทาสบริวารอบอุ่นฝาคลั่งแต่ก็มีผลตอบรับน้อยหรือเหลือกำไรน้อย
     ชื่อ  รมิดา ประกอบด้วย ดาว ๘ ๕ ๑  ๗
     ดาว ๘ + ๗  คู่มิตร จะเป็นคนที่มีมิตรสหายมาก ดาว ๘ เป็นมูละจึงทรัพย์หลายแห่ง
     ดาว ๘ + ๑  คู่มืดคู่สว่าง ทรัพย์มักจะถูกฉ้อโกง หรือหลักทรัพย์มักจะเกิดการพลิกผัน เงินรั่ว
     ดาว ๘ + ๕  คู่โลกธรรม และคู่การค้า ชีวิตมักวุ่นอยู่กับเรื่องค้าขาย ถูกรบกวนเสมอ แต่ก็หาทรัพย์คล่อง
     ดาว ๘ อักษรนำเป็นนิจไม่มีพลัง เป็นมูละอยู่ในภพปุตตะ หลักฐานที่มีมักจะเกิดเรื่องหร่อยหรอเพราะบุตรหลานและบริวาร และเดือดร้อนเพราะเรื่องคดีความเพราะคนใกล้ชิดก่อขึ้นมา (ดาว ๗ เดชคู่มิตรในภพกดุมภะ) การงานที่ทำก็มั่นคงแต่ก็มักจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ร่วมดาว ๖ บริวารที่ช่วยเหลือก็มักจะไม่ได้ดังใจ
     ชื่อนี้เรื่องทรัพย์สินก็ไม่สู้ดีนัก เพราะตัวนำเสื่อ โอกาสที่จะหมดตัวก็สูง ทีนี้มาดูในด้านอิทธิพลบ้าง
ตนุเป็นมนตรีอยู่ในเรือนกดุมภะ ดาว ๘ บริวาร ตัวเองต้องเป็นที่พึ่งเหล่าบริวารในเรื่องเงินทองๆเสมอ ทำให้เงินทองก็ต้องหมดไป(ดาว ๘ เป็นนิจ) ดาว ๘ ร่วมดาว ๖ อายุ สุขภาพของตนเองก็มักจะป่วยแบบเรื้อรัง (ดาว ๘ นิจเบียนดาว ๖ อายุ)  ร่วมดาว ๓ มูละ ทรัพย์สินที่หามาได้ก็ไม่ใครอยู่ทน
     ในด้านเสีย ดาว ๕ กาลีอยู่ในภพอริ จะเดือดร้อนเพราะเรื่องหนี้สินและเรื่องการเจ็บป่วย ทำให้การงานระส่ำระสาย ร่วมดาว ๑ เดช จะมีเรื่องเดือดร้อนเป็นความเสมอ  ดาว ๕ เป็นมีเกณฑ์ 5 กับดาว ๖ ,๓ ดาว ๖ อายุ สุขภาพก็ไม่ดีนัก ดาว ๓ มูละ ทรัพย์สินก็เดือดร้อนเสมอ เกณฑ์ 9 กับดาว ๗ การงานการเดือดร้อนอยู่ประจำ
     ในด้านดี ดาว ๒ ศรี อยู่ภพปัตนิเล็งลัคนาสามีก็รักใครกันดีอยู่อย่างมั่นคง
     ชื่อนี้เมื่อเปรียบกับชื่อก่อนน่าจะย่ำแย่กว่า
     จากที่ถามเธอ เธอให้ข้อมูลว่า เมื่อใช้ชื่อนี้ก็เริ่มมีอาการปวดหูจึงไปพบแพทย์เพื่อรักษาแต่ก็ไม่ดีขึ้น รักษาจนอาการปวดหายไปปรากฏว่าหูซ้ายไม่ได้ยิน หมอจึงแจ้งว่าเป็นคนหูหนวกข้างซ้ายถาวร  หลังจากนั้นแกก็ต้องไปรับหนี้แม่ผัวต้องผ่อนธนาคารอย่างสาหัสทีเดียว แถมร้านขายเสื้อผ้าที่ตลาดโบ้เบ้เจ้าของร้านก็ไม่ให้เช่าอีก  ต้องวุ่นอยู่กับการหาแผงใหม่เดือดร้อนอยู่หลายเดือน
จากที่แกเล่าบังเอิญจากชื่อใหม่หรือเพราะว่ามันใช่เลย  ฝากกันช่วยคิดด้วยนะครับ อ้อไม่รับเปลี่ยนชื่อนะครับ 

 
*****************************************